18 มกราคม 2559

เตรียมตัวก่อนวิ่ง วอร์มอัพยังไงให้วิ่งปลอดภัย

แม้การวิ่งจะเป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่ายจนเราอดไม่ได้ที่จะหยิบรองเท้าแล้วออกไปวิ่ง แต่การเริ่มต้นวิ่งไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะขาดการวอร์มอัพและคูลดาวน์ ที่เหมาะสม งานนี้มีเจ็บตัวแน่ๆ  เราต้องเรียนรู้การเตรียมพร้อมร่างกายก่อนและหลังการวิ่งอย่างดีที่สุด เพื่อป้องกันการบาดเจ็บค่ะ


1.ท่าก้มตัวยืดกล้ามเนื้อหลังขา

เตรียมตัวก่อนวิ่ง วอร์มอัพยังไงให้วิ่งปลอดภัย
    1. เริ่มต้นจากยืนไขว้ขาขวาทับขาซ้าย สูดลมหายใจเข้าลึก ยืดตัวยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ
    2. จังหวะลมหายใจออก พับลำตัวพร้อมกับก้มศีรษะลง ปลายนิ้วแตะพื้น (หากลำตัวยืดหยุ่น ให้วางฝ่ามือราบพื้น หากยังไม่สามารถทำได้ ให้วางมือที่เข่าหรือข้อเท้า) ค้างท่าไว้ 3-5 ลมหายใจ หายใจเข้าพร้อมกับยกลำตัวขึ้น ยืดตัวยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ
    3. สลับขาซ้ายไขว้ทับขาขวา สูดลมหายใจเข้าลึก ยืดตัวยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ จังหวะลมหายใจออก พับลำตัวพร้อมกับก้มศีรษะลง ปลายนิ้วแตะพื้น ค้างท่าไว้ 2-3 ลมหายใจ หายใจเข้าพร้อมกับยกลำตัวขึ้น ยืดตัวยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ
    4. พักสักครู่ แล้วค่อยทำซ้ำอีก 1-2 ครั้ง

2.ท่ายืดข้างลำตัวและกล้ามเนื้อขาด้านข้าง

เตรียมตัวก่อนวิ่ง วอร์มอัพยังไงให้วิ่งปลอดภัย
  1. เริ่มจากยืนแยกขากว้างกว่าระยะไหล่ มือประสานกันอยู่เหนือศีรษะ
  2. สูดหายใจเข้าลึกๆ จังหวะหายใจออก ค่อยๆ เอียงลำตัวลงไปด้านขวา ให้รู้สึกว่าได้เหยียดข้างลำตัวและขาด้านข้าง ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ จังหวะหายใจเข้า ยกลำตัวขึ้นตรง
  3. สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จังหวะหายใจออก ค่อยๆ เอียงลำตัวลงไปด้านซ้าย ให้รู้สึกว่าได้เหยียดข้างลำตัวและขาด้านข้าง ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ หายใจเข้า ยกลำตัวขึ้นตรง
  4. พักสักครู่ แล้วค่อยทำซ้ำอีก 1-2 ครั้ง

3.ท่ายืดข้างลำตัวและกล้ามเนื้อขาด้านใน

เตรียมตัวก่อนวิ่ง วอร์มอัพยังไงให้วิ่งปลอดภัย
  1. เริ่มจากยืนแยกขากว้างกว่าระยะไหล่มากขึ้น มือประสานกันอยู่เหนือศีรษะ
  2. สูดหายใจเข้าลึกๆ จังหวะหายใจออก ค่อยๆ เอียงตัวไปด้านซ้าย พร้อมลดตัวลงพับเข่าซ้ายทำมุมฉาก (ถ้าสามารถทำได้) ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ จังหวะหายใจเข้า ยกลำตัวขึ้นตรง
  3. สูดหายใจเข้าลึกๆ จังหวะหายใจออก ค่อยๆ เอียงตัวไปด้านขวา พร้อมลดตัวลงพับเข่าขวาทำมุมฉาก (ถ้าสามารถทำได้) ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ จังหวะหายใจเข้า ยกลำตัวขึ้นตรง
  4. พักสักครู่ แล้วค่อยทำซ้ำอีก 1-2 ครั้ง

4.ท่ายืดน่องและกล้ามเนื้อขาด้านใน

เตรียมตัวก่อนวิ่ง วอร์มอัพยังไงให้วิ่งปลอดภัย
  1. เริ่มจากยืนแยกขากว้างกว่าระยะไหล่มากขึ้น วางมือทั้งสองข้างประสานกันไว้ที่ด้านหลัง
  2. หมุนปลายเท้าขวาไปด้านขวา 90 องศา หมุนปลายเท้าซ้ายเข้าด้านในลำตัว 45 องศา บิดลำตัวไปด้านขวา หลังจากนั้นก้มตัวลงให้หน้าผากใกล้เข่า ยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นบน ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ จึงค่อยคลายจากท่า
  3. สลับข้าง หมุนปลายเท้าซ้ายไปซ้าย 90 องศา หมุนปลายขวาเข้าด้านในลำตัว 45 องศา บิดลำตัวไปด้านซ้าย หลังจากนั้นก้มตัวลงให้หน้าผากใกล้เข่า ยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นบน ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ จึงค่อยคลายจากท่า
  4. พักสักครู่ แล้วค่อยทำซ้ำอีก 1-2 ครั้ง

5.ท่ายืดกล้ามเนื้อขาด้านใน

เตรียมตัวก่อนวิ่ง วอร์มอัพยังไงให้วิ่งปลอดภัย
  1. เริ่มจากยืนแยกขากว้างกว่าระยะไหล่มากขึ้น (กะระยะว่าเมื่อลดตัวลงสามารถทำเข่าเป็นมุมฉากได้) วางมือทั้งสองข้างไว้ที่เอว
  2. หมุนปลายเท้าซ้ายไปด้านซ้าย 90 องศา หมุนปลายเท้าขวาเข้าด้านในลำตัว 45 องศา บิดลำตัวไปด้านซ้าย หลังจากนั้นลดตัวลงให้เข่าทำมุมฉาก ต้นขาขนานกับพื้น ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ (หรือมากกว่า ถ้าทำได้) จึงค่อยยืดตัวขึ้น
  3. สลับข้าง หมุนปลายเท้าขวาไปขวา 90 องศา หมุนปลายซ้ายเข้าด้านในลำตัว 45 องศา บิดลำตัวไปด้านขวา หลังจากนั้นลดตัวลงให้เข่าทำมุมฉาก ต้นขาขนานกับพื้น ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ (หรือมากกว่า ถ้าทำได้) จึงค่อยยืดตัวขึ้น
  4. พักสักครู่ แล้วค่อยทำซ้ำอีก 1-2 ครั้ง

6.บริหารกล้ามเนื้อขาด้านในด้วยท่า Pile Squat

เตรียมตัวก่อนวิ่ง วอร์มอัพยังไงให้วิ่งปลอดภัย
  1. เริ่มจากยืนแยกขากว้างกว่าระยะไหล่มากขึ้น (กะระยะว่าเมื่อลดตัวลงสามารถทำเข่าเป็นมุมฉากได้) วางมือทั้งสองข้างไว้ที่เอว
  2. จากนั้นเกร็งช่วงแกนกลางลำตัว ทิ้งน้ำหนักไปที่ก้น แล้วย่อตัวลงให้เข่าทำมุมฉาก แล้วยกตัวขึ้นในท่าเริ่มต้น ทำสลับไปมาทั้งหมด 15 ครั้ง
  3. พักสักครู่ แล้วค่อยทำซ้ำอีก 1-2 ครั้ง

7.ท่ายืดเข่าและกล้ามเนื้อขาด้านหน้า

เตรียมตัวก่อนวิ่ง วอร์มอัพยังไงให้วิ่งปลอดภัย
    1. เริ่มจากยืดตัวตรง ถ่ายน้ำหนักไปที่ขาขวา พับเข่าซ้าย ใช้มือทั้งสองข้างประคองเข่านำมาชิดอกให้ได้มากที่สุด ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ
    2. จากนั้นจึงคลายท่า ลดต้นขาลงแล้วพับเข่าไปด้านหลัง ใช้มือทั้งสองข้างกดปลายเท้าให้แนบก้นให้ได้มากที่สุด ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ
    3. สลับข้าง ถ่ายน้ำหนักไปที่ขาซ้าย พับเข่าขวา ใช้มือทั้งสองข้างประคองเข่านำมาชิดอกให้ได้มากที่สุด ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ จากนั้นจึงคลายท่า ลดต้นขาลงแล้วพับเข่าไปด้านหลัง ใช้มือทั้งสองข้างกดปลายเท้าให้แนบก้นให้ได้มากที่สุด ค้างไว้ 2-3 ลมหายใจ
    4. พักสักครู่ แล้วค่อยทำซ้ำอีก 1-2 ครั้ง
*หากสมดุลร่างกายยังไม่ดีพอ สามารถเริ่มทำโดยใช้ผนังเป็นตัวช่วยพยุงร่างกายได้

Note :
  • ก่อนออกวิ่งแนะนำให้บริหารข้อเท้าอีกสักนิด ด้วยการหมุนข้อเท้าทั้งสองข้าง จากนั้นเขย่งปลายเท้าขึ้นลดส้นเท้าลงสลับไปมา เพื่อเตรียมข้อเท้า
  • หลังจากวิ่งเสร็จแล้ว ควรคูลดาวน์ร่างกายด้วยการทำท่าวอร์มอัพข้างต้นซ้ำอีกครั้ง โดยเพิ่มหรือลดจำนวนเซ็ตได้ตามความเหมาะสม
  • สำหรับคุณสาวๆ ที่อยากสมัครเข้าร่วมแข่งขันโปรแกรมวิ่งมาราธอน ควรฝึกวิ่งโดยสะสมระยะทีละน้อย เพื่อเช็คประสิทธิภาพของร่างกาย และหมั่นวิ่งสำสม่ำเสมอ ไม่ควรลงสนามระยะไกลทันที


CR . lisaguru.com

17 มกราคม 2559

สวยได้ไม่ต้องรอชาติหน้า.....25สาว ขอศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต!!!!!

เหมือนเกิดใหม่!! 25 สาวเกาหลี ขอศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต


เกาหลีใต้ ประเทศขึ้นชื่อเกี่ยวกับการศัลยกรรม จนหลายคนเหมารวมว่าผู้หญิงเกาหลีที่สวย ต้องผ่านการศัลยกรรมมาแน่ๆ ซึ่งการศัลยกรรมในเกาหลี ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ เพราะบางครั้ง ความสวยมันก็เป็นใบเบิกทางและโอกาสของหลายๆ อย่าง มาดูสาว 25 คนต่อไปนี้ ที่พวกเธอขอทำสวย เพื่อให้มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น จะสวยเปลี่ยนไปขนาดไหน ไปดูกัน 

















































































13 มกราคม 2559

8 ลุคบิวตี้ ที่ผู้ชายแอบ "ยี้" ในใจ


     เทรนด์แต่งหน้านั้นหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกระเเสนิยม บางลุคการแต่งหน้าที่สาวๆ นิยมแต่งกันเป็นเทรนด์หรือใช้อ้างอิงเป็นลุคประจำตัวมาตลอดหลายปี รู้ไหมว่าหนุ่มๆ ส่วนใหญ่เค้าแอบกระซิบมาว่ามันดู "น่ากลัว" มากกว่าน่ารักหรือเซ็กซี่ มาลองสุ่มสำรวจความคิดเห็นจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หลากวัยและได้คำตอบมาตามนี้ ลองดูกันนะว่ามันเป็นลุคที่คุณยังชอบแต่งกันอยู่หรือเปล่า

1.  การเขียนคิ้วที่เล็กแหลมโค้งโก่งเกินไปหรือเขียนโครงคิ้วหนาเข้มเกินไป

   ไม่ว่าจะเป็นการเขียนคิ้วหรือสักคิ้วที่เส้นเรียวเล็กและโค้งโก่งเกินไป มักทำให้หนุ่มๆ รู้สึกแปลกๆ แทบทุกคนลงความเห็นว่าชอบคิ้วที่ไม่หนาและบางจนเกินไป รวมถึงรูปทรงที่ไม่โค้งโก่งมากจนดูเหมือนนางเอกงิ้ว  "ผมชอบคิ้วที่ดูเป็นธรรมชาติ ถึงจะรกหน่อยก็ดีกว่าเป็นเส้นเล็กเหมือนใช้ปากกาเมจิกขีดนะครับ"  นี่คือความคิดเห็นของหนุ่มช่างภาพคนหนึ่ง

2.  ลิปสติกสีดำหรือสีเข้มจัดที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ

  เห็นภาพนางแบบกับลิปสติกสีเข้มจัดแบบนี้ สาวหลายคนโดยเฉพาะสาวแฟชั่นนิสต้ามักจะชื่นชอบ เพราะมันดูเก๋ไก๋ มีสไตล์ แต่หนุ่มๆ ทั้งหลายบอกว่าพวกเค้ารู้สึกเกร็งและขยาดหากต้องเดินเคียงคู่ไปกับแฟนสาวที่ทาปากสีดำหรือสีเข้มจนเกือบดำ หรือแม้แต่สีแปลกๆ อย่างสีเขียว สีฟ้า สีทอง ฯลฯ ก็เช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นการออกเดตพวกเค้าบอกว่า  "ผมไม่กล้าจูบเธอครับ กลัวว่าสีเหล่านั้นจะมาติดบนปากผมและลบไม่ออก"  เห็นทีต้องเก็บลุคนี้ยามไปปาร์ตี้ฮาโลวีนหรือปาร์ตี้สุดซิ่งกับเเก็งค์เพื่อนสาวจอมเปรี้ยวแล้วล่ะ (แต่ถ้าแฟนหนุ่มของคุณเป็นหนุ่มร็อคแอนด์โรลเค้าอาจจะชื่นชอบก็ได้) 

3.  แฟชั่นทรงผมสีรุ้ง

"ผมคิดว่าถ้าเป็นตอนเรียนมหาวิทยาลัย สาวๆ ที่ทำผมสีรุ้งพวกนี้ก็ดูติสท์และน่าสนใจดี แต่ถ้าจะให้จีบเป็นแฟน ก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไร ยิ่งอยู่ในวัยทำงานด้วยแล้ว ผมขอบายนะ มันมองดูเหมือนตุ๊กตาม้าโพนี่ยังไงไม่รู้ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่ดี เพียงแต่ผมไม่ค่อยชอบ คงไม่กล้าลูบผมเธอแบบเอ็นดู เวลามีแฟนก็อยากลูบผมเค้านะครับ"    นี่คือ เหตุผลหนึ่งจากหนุ่มออฟฟิศ ที่สอบถามมา 

4. ทาตาสโมกกี้แบบจัดเต็มเช้า กลางวัน เย็น

  จริงอยู่ว่าดวงตาแบบสโมกกี้นั้นดูสวยและทรงพลัง แต่สาวๆ คงต้องเลือกแต่งให้เหมาะสมทั้งโอกาสและช่วงเวลา  "ผมจีบผู้หญิงคนนึงตอนไปงานเลี้ยงกลางคืน เธอมีสายตาทรงพลังน่าสนใจมาก เราไลน์คุยกันหลังจากนั้น พอเริ่มนัดเดตตอนกลางวัน เธอก็ยังคงสวยแต่การทาตาสีเข้มๆ จัดเต็มทุกครั้งของเธอมันแอบทำให้ผมรู้สึกกลัวและเกร็ง จะบอกเธอตั้งแต่เดือนแรกที่คบกันก็กลัวว่าเธอจะเสียความรู้สึก แต่ในใจผมอยากให้เธอแต่งหน้าแบบเป็นธรรมชาติบ้างในบางเวลา" ความรู้สึกลึกๆ ของผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เรื่องผิด สาวๆ อาจแย้งว่าก็ฉันเป็นของฉันแบบนี้ตั้งแต่แรกที่เค้ามาจีบนะ แต่อย่าลืมว่าบางครั้งแฟนหนุ่มก็อยากเห็นลุคธรรมชาติที่เผยตัวตนจริงๆ ของสาวคนรักบางเหมือนกันนะจ๊ะ หากสาวๆ รักตาสโมกกี้จริงๆ แนะให้ลองปรับระดับความเข้มให้ลดลง อาจเลือกใช้สีน้ำตาลหรือน้ำเงินแทนสีดำในเวลากลางวันเพื่อความซอฟท์น่ามองจากสายตาหนุ่มๆ  

5.  ขนตายาวเกินไป

"ผมรู้ว่าสาวๆ สมัยนี้ชอบติดขนตาปลอมยาวๆ เวลาไปงานเลี้ยงกันมันก็สวยดีครับ แต่บางวันที่เราไปกินก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยด้วยกัน เธอก็ยังติดขนตาปลอมยาวๆ ด้วย เวลาเธอเอาหน้ามาใกล้ๆ ผมรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรติดหน้าเธอทุกทีเลย แอบคันมืออยากดึงออกอยู่เหมือนกันแต่กลัวเธอโกรธ"   หนุ่มน้อยนักกีฬาบอกเรามาแบบนี้   ชอบนะ ขนตายาวและงามงอน สาวๆ บางคนติดขนตาปลอมได้เก่งขั้นเทพไม่เเพ้ช่างแต่งหน้ามือโปร แต่ลองเช็คนิดนึงว่าในวันธรรมดาขนตาปลอมของคุณมันดูยาว หนาเว่อร์และอลังการไปจนหนุ่มๆ กลัวหรือเปล่า 

6.  เล็บเท้ายาวๆ ที่สาวบางคนบอกว่าเซ็กซี่

   ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การไว้เล็บเท้ายาวๆ มันเริ่มนิยมในสมัยไหน จริงอยู่ว่าสาวๆ ส่วนมากไม่ค่อยนิยมทำกัน แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่นิยม ซึ่งผู้ชายร้อยทั้งร้อยลงความเห็นว่ามันดูน่ากลัวมาก ดูไม่สะอาดและกลัวว่ามันจะหักเป็นอันตราย (มีบางรายบอกเราว่ามันเหมือนเท้าปีศาจในการ์ตูน โอ้!! มายก็อด) การไว้เล็บเท้ายาวนั้นไม่ผิดแต่มันคงดีกว่าถ้ามันยาวในระดับที่พอเหมาะ มีการดูแลจัดแต่งตไบทรงให้สวยงาม แลดูสุขภาพดีจริงไหม   

7.  เลือกสีรองพื้นผิดจนหน้าเทาหรือไฮไลต์หนักมือจนด่าง

เข้าใจว่าการเลือกสีรองพื้นหรือเบสเมกอัพที่ตรงเป๊ะกับสีผิวร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินไปนะสาวๆ ลองให้เวลาในการเลือกเฉดสีที่ถูกต้องอีกนิด และเบามือสักหน่อยยามทามันลงบนผิว  "ผมไม่เข้าใจว่าทำไมสีหน้ากับสีบริเวณคอของเธอมันถึงต่างกันขนาดนั้น มันเหมือนเธอใส่หน้ากากหรือสวมปลอกคอ ไม่รู้สิ มองเเล้วไม่สดใสเลย มันดูเทาๆ ว่อกๆ" หนุ่มการตลาดบอกเล่าถึงสาวคนล่าสุดที่เค้า    ไปเดตด้วย  "บางทีเธออาจจะอยากลองเทคนิคแต่งหน้าแบบใหม่ที่ผมไม่เข้าใจมั้ง"

8. ใส่แขนกุดโชว์ขนรักแร้ยาว 

"ได้ยินมาว่าสาวจีนกำลังฮิตและสาวเกาหลีเคยฮิตมันมาก่อน แต่ผมบอกตรงๆ นะรับไม่ได้เด็ดขาด ดูสกปรกและนึกถึงกลิ่นอับ" หนุ่มนักเขียนบทเอ่ยขำๆ "ผมไม่เข้าใจว่ามันสวยตรงไหนเหรอ"  เทรนด์การไว้ขนรักแร้ ไม่อินด้วยสักเท่าไร แม้สาวคนดังอย่าง  ไมลีย์ ไซรัส จะชื่นชอบมันแถมยังย้อมสีสะท้อนเเสงด้วยก็ตาม (โอ้ แม่เจ้า) ยิ่งการใส่เสื้อแขนกุดและสายเดี่ยวที่ทำให้เห็นขนรักแร้แบบตั้งใจไว้ยาว (หรือไม่ก็ตาม) ยิ่งทำให้หนุ่มๆ ขยาดไปตามๆ กันนะจ๊ะสาวๆ   

    ลุคทั้งหมดที่บอกมานี้ก็ไม่ใช่ลุคที่ผิดอะไร หากสาวๆ ชอบมันมากจริงๆ  แค่อยากกระซิบความในใจของหนุ่มๆ ให้คุณได้รู้กันเท่านั้นเอง


ขอบคุณภาพประกอบจาก beautyandmakeupmatters.com , imgracade.com, tarto.com และ Personalitycafe.com 
ที่มา : Girldaily
   หากชอบ และถูกใจ  กดแชร์ แบ่งปันกันไปนะคะ  ^^  

4 มกราคม 2559

วิธีกู้ชีพให้ฟื้นด่วน !!! แฮงโอเวอร์ แบบ “พังทั้งร่าง” จากปาร์ตี้เมื่อคืน



ช่วงปีใหม่นี่ปาร์ตี้อย่างเพียบ สำหรับสาวๆ ที่นานน้านนน.... จะออกไปซิ่งซ่ากับเค้าสักที พอได้ปล่อยผีทีนางก็ซัดเต็มที่ จัดหนัก จัดเต็ม เดี๋ยวชนๆ อยู่นั่น รู้ตัวอีกที จากนางฟ้าหน้าผับกลายเป็นนางเพิ้งนั่งเมาเรื้อนกอดโถส้วมอยู่ แถมตื่นเช้ามาก็ร้าวไปทั้งตัว (ใช้คำว่าตื่นบ่ายจะถูกต้องกว่า)  พังทั้งร่างขนาดนี้  ขอเสนอวิธีแก้อาการแฮงโอเวอร์ทั้งร่าง  (โปรดแปะไว้หน้าวอลล์ กันลืม)




พังที่ 1 : หัวตุบๆ ตึบๆ

ตื่นมาแล้ว แต่หัวหนักมาก ยกจากหมอนเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น ตุบๆ ตึบๆ เหมือนลำโพงที่ยืนเต้นอยู่ข้างๆ มันตามมาอยู่ข้างเตียง ลองดื่มน้ำมากๆ ก่อน เพราะว่าแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายเราขาดน้ำ อย่าเพิ่งดื่มกาแฟ เพราะในคาเฟอีนจะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำหนักเข้าไปอีก รอสักพักแล้วลองลุกไปหาน้ำผึ้งกับมะนาวเอามาผสมกัน แล้วซดแบบเพียวๆ นี่คือสูตรเด็ดที่เราทำทุกครั้งหลังอาการเมาค้าง เพียงไม่ถึงชั่วโมงก็หายแทบจะเป็นปลิดทิ้ง มะนาวทั้งลูกสัก 1-2 ลูก (ขึ้นอยู่กับความซาดิสม์ น้ำผึ้งประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)

พังที่ 2 : ส้นสูงทำพิษ ตะคริวกินน่อง
สาวๆ ก็อยากสวยเนาะ แต่งตัวกันอย่างเอ็กซ์จะให้ลากแตะคีบแบนๆ มันดูไม่ชิคอะ ก็ต้องส้นสูง แล้วใส่ส้นสูงเต้นทั้งคืนคือขาพัง! เมื่อกลับถึงบ้าน ท่อนขาลงไปจะไร้ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น คนไม่มีขา! เคยมั้ย? หลับๆ อยู่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะตะคริวกินน่อง! ง่วงก็ง่วง เจ็บก็เจ็บ! เพื่อหลีกเลี่ยงอาการนี้ กลับถึงบ้านควรใช้วิชายืดน่อง แบบที่เราทำหลังออกกำลังกายนั่นแหละ สลับกับการใช้ฝ่าเท้ากลิ้งลูกเทนนิส หรือขวดน้ำไปมาเพื่อคลายเส้น
พังที่ 3 : คอพัง เสียงหาย
ทั้งกรี๊ด ทั้งตะโกน ทั้งร้องตาม ทั้งคุยกับผู้ชาย กลับถึงบ้านเสียงแหบไปเลยจ้า บางคนถึงขั้นเจ็บคอ แสบคอกันเลยทีเดียว ยังคงแนะนำให้ดื่มน้ำผึ้งมะนาวอยู่นะ เพียงแต่อาจจะทำเยอะขึ้นด้วยการผสมน้ำอุ่นแล้วจิบเรื่อยๆ หรืออาจจะผสมกับชาคาโมมายล์เพื่อช่วยปลอบประโลมทั้งลำคอ กล่องเสียง เส้นเสียง ย้ำอีกครั้งว่าอย่าดื่มกาแฟ เพราะในลำคอของคุณเพิ่งผ่านการกระดกแอลกอฮอล์ ตัวทำให้ขาดน้ำเลย ถ้าตามด้วยกาแฟอีก มันยิ่งดูดน้ำ ดื่มอะไรที่ทำให้ชุ่มคอดีที่สุด และอยู่ในความเงียบบ้าง งดใช้เสียงสักพักถ้าไม่จำเป็น

พังที่ 4 : ผิวกร้าน หน้าเยิน
ส่วนมากถ้าเมาปลิ้นกันขนาดนี้ คงไม่มีใครบังคับตัวเองให้ลุกมาล้างหน้าได้ นอนทั้งเมคอัพนั่นล่ะค่ะ แล้วเป็นไงล่ะ ตื่นมาจะรู้สึกได้ถึงความเยิน ผิวหน้าเยิ้มๆ เหนอะๆ ทั้งคราบเมคอัพปนกับคราบน้ำมันที่ผิวต้องผลิตออกมาอีก เละ! คราบมาสคาร่า + อายไลเนอร์กองกันอยู่ที่ขอบตาล่าง รีบล้างหน้าให้สะอาด บำรุงผิวด้วยซีรั่ม แล้วโปะมาสก์ที่เริดที่สุดที่มีลงไปทันที เน้นว่าต้องให้ความชุ่มชื่นหนักมาก สังเกตมาสก์ประเภท hydration moisture deeply soothing อะไรเทือกๆ นี้ อย่าลืมมาสก์รอบดวงตาแยกออกมาด้วย แนะนำ Biotherm Life Plankton Mask ออกใหม่ล่าสุด วางขายมกราคมนี้ ช่วยได้แน่นอน!

พังที่ 5 : ตาแห้ง ลืมตาแทบไม่ขึ้น
สำหรับสาวๆ ที่ใส่คอนแทคเลนส์ พอเมาหลับก็มักจะลืมถอดคอนแทคเลนส์ ตื่นมาตาแห้งแบบแทบลืมตาไม่ขึ้น อย่าเพิ่งถอดคอนแทคเลนส์เด็ดขาด ให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดเพื่อให้นัยน์ตามีความชุ่มชื้นก่อน ค่อยถอดคอนแทคเลนส์ออก เพราะถ้าถอดทั้งตาแห้ง นอกจากอาจจะทำให้เลนส์ขาด เป็นรอยฉีกตามขอบได้แล้ว ยังอาจจะทำให้กระจกตาที่แห้งอยู่ถูกรบกวน ระคายเคืองหนักขึ้น เลนส์ที่แห้งอาจจะไปสะกิดให้นัยน์ตาเป็นแผลได้ ทางที่ดีต่อให้เมาแค่ไหนก็อย่าลืมถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนจะดีที่สุด

สุดท้ายนี้...หวังว่าสาวๆ    จะไม่ต้องใช้วิธีแก้แฮงโอเวอร์ที่เราเอามาบอกกันนะ ดื่มแต่พอประมาณ ดื่มอย่างมีสติ เป็นสาวเป็นนางไปเมาปลื้น อ้วกแตกอ้วกแตนในที่สาธารณะมันดูไม่งามนะคะ เชื่อพี่! ปล.ไปหาเรื่องนี้มาดูด้วย ขำๆ :P

15 เหตุผล “คนที่ชอบเที่ยว” มีแนวโน้มสำเร็จมากกว่า !




             แน่นอนว่า คำว่า “สำเร็จ”​ ของแต่ละคนนั้น มีคำนิยามไม่เหมือนกัน แต่ความจริงก็คือ บางคน “สำเร็จ” แต่บางคนไม่สำเร็จ และเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ซึ่งหลายๆ คนคงเคยอ่านมาบ้างว่า อะไรคือปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ ที่เราสามารถสร้างได้ อย่าง การเสริมสร้างความมั่นใจ หรือ เอาชนะความกลัวต่างๆ นานา

        แต่เรื่องหนึ่งที่สังเกตได้ก็คือ มันมีคนประเภทหนึ่ง ที่มีแนวโน้มที่จะสำเร็จมากกว่าคนอื่น และคนประเภทนั้นคือ “คนที่ชอบเที่ยว” รักการเดินทาง และนี่คือ 15 เหตุผลที่ว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น?

1.  พวกเขารู้วิธีที่จะเติบโตในที่ที่แปลกใหม่
            คนพวกนี้จะไม่ชอบอยู่ใน Comfort zone หรือที่ที่คุ้นเคยและสบายของตนเอง แต่ชอบไปในที่ๆ แปลกใหม่ เจอเรื่องใหม่ๆ ที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คิดหากลยุทธ์เพื่อเอาตัวรอด และนี่คือทักษะที่สำคัญสำหรับคนที่จะประสบความสำเร็จและเป็นผู้นำล่ะ

2.  พวกเขาต้อนรับความเปลี่ยนแปลง
           พวกเขาชอบความเปลี่ยนแปลง ชอบอะไรใหม่ๆ เพราะฉะนั้น นิสัยในส่วนนี้จะไปช่วยในเรื่องการมีความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน

3.  พวกเขารู้วิธีในการจัดการควบคุมอารมณ์ 
           การไปในต่างที่ ต่างถิ่นบ่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือปัญหาที่เกิดจากความไม่เข้าใจ ทั้งภาษา วัฒนธรรม ซึ่งในหลายๆ สถานการณ์ เขาต้องเอาตัวรอดให้ได้ และหนึ่งในนั้นก็คือ พวกเขาต้องใจเย็น ควบคุมอารมณ์ และตั้งสติในการแก้ปัญหา ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้ดียิ่ง

4.  พวกเขาเรียนรู้ที่จะไว้ใจคน และทุกอย่างไม่ต้องอยู่ในความควบคุมก็ได้
           การไปเที่ยวบ่อยๆ โดยเฉพาะต่างชาติ ต่างภาษานั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ การกล้าที่จะไว้ใจคน เพราะพวกเขาไม่มีทางรู้ในทุกๆ เรื่อง การไม่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรม ทำให้เขาต้องเชื่อใจคนท้องถิ่น และยอมรับความจริงที่ว่า บางทีทุกอย่างก็ต้องให้มันเป็นไป และเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ และนี่ทำให้สิ่งที่ได้ตามมาคือ ความมั่นใจที่มากขึ้นในการเลือกคบคน จากประสบการณ์ของพวกเขาที่ผ่านมา

5.  พวกเขาจัดการความกลัวและก้าวผ่านไปได้
           กุญแจสู่ความสำเร็จคือ “การกระทำ” คือการกล้าที่จะเริ่ม แม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางที่จะหันหลังกลับได้แล้ว ก็ต้องก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จ ซึ่งคนพวกนี้ คือตัวอย่างของคนที่ไม่ค่อยกลัวอะไรอยู่แล้ว มีความกล้าสูง

6.  พวกเขามักมองเห็นโอกาสและคว้าไว้
          การที่พวกเขาเดินทางไปในหลายๆ ที่ มีประสบการณ์มาก มีความรู้มาก ทำให้วิสัยทัศน์ของพวกเขากว้างไกลมากขึ้นด้วย และนี่ทำให้เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือโอกาส และควรที่จะคว้าไว้หรือไม่

7.  พวกเขาเจรจาเป็น เพื่อเอาสิ่งที่ต้องการ
          คนพวกนี้รู้ว่า ควรเจรจาอย่างไร ไม่ให้ถูกเอาเปรียบ และให้ได้สิ่งที่จำเป็น หรือต้องการ โดยที่ไม่ก้าวร้าว หรือดูใช้วาจาที่รุนแรง ซึ่งถือเป็นทักษะที่มีประโยชน์มาก

8.  พวกเขาเห็น “ความงาม” ในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่เห็น
          เรามักพบสิ่งนี้ในช่างถ่ายภาพมือฉมัง หรือนักเขียนชื่อดัง ที่มักเห็นความงามในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม เห็นเพชรที่อยู่ในโคลนตม และสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างน่าชื่นชม ทักษะนี้ไม่ได้เกิดมากับเขา แต่คือสิ่งที่เขาได้จากการเห็นโลกมามากทั้งสิ้น

9.  พวกเขามีความมั่นใจ และรู้ว่าจะแสร้งให้ดูมั่นใจอย่างไร ในเวลาที่ต้องการ
           เวลาไปเที่ยว ยิ่งไปเที่ยวคนเดียว ความมั่นใจในตัวเอง พึ่งพาตนเองคือเรื่องสำคัญ และนั่นเป็นการฝึกพวกเขาได้ดี โดยเฉพาะในเวลาที่เขาเจออุปสรรค ในใจเขาอาจจะอ่อนแอ และกลัว แต่เพื่อความอยู่รอด การทำเป็นว่ามั่นใจ และก้าวผ่านไปให้ได้ ก็เป็นทักษะหนึ่งเช่นกัน

10.  พวกเขาเข้าใจ “ความต่าง” ในตัวของคนอื่น และยอมรับมัน
           คนพวกนี้เจอคนใหม่ๆ อยู่เสมอ และชอบถามคำถาม ถามเยอะ แต่ที่ถามนั้นเพราะเขาสนใจ อยากรู้ อยากทำความเข้าใจในความต่างนั้น และยอมรับในความต่างทางวัฒนธรรม และภาษา นั่นทำให้เขาเข้ากับคนง่าย สร้างเพื่อนได้ง่าย มีแต่คนรักนั่นเอง

11.  พวกเขารู้วิธีที่จะมีความสุขในชีวิตในปัจจุบัน
           พวกเขารู้ว่า ไม่มีการใช้ชีวิตแบบใดมีความสุขเท่ากับการอยู่และเอ็นจอยกับปัจจุบัน เขาไม่ยึดติดกับอดีต และไม่มองอนาคตมากเกินไปจนไม่มีความสุข และนี่เป็นเรื่องที่ดีทั้งต่อสุขภาพทางกาย และทางใจเลยทีเดียว

12.  พวกเขายิ้มบ่อย และมีความสุขมากกว่าคนอื่น
          การศึกษาออกมาแล้วว่า การท่องเที่ยว ทำให้คนเรามีความสุข และยิ่งเที่ยวบ่อย ก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น ยิ้มบ่อยขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอที่ใหม่ๆ พบคนใหม่ๆ เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ นั่นเอง

13.  พวกเขาเข้าใจความสำคัญของ “การฟัง”
         หลายๆ คนมีปัญหามากกับการฟัง การฟัง คือจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ และความเข้าใจกับคนอื่น คุณจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่ว่าคุณพูดอย่างเดียว แต่ต้องฟังด้วย และคนพวกนี้รู้ดีว่า พวกเขาจะอยู่รอดในต่างที่ ต่างภาษาได้ ต้องฟังเท่านั้น

14.  พวกเขาไม่ค่อยตัดสินคนอื่น และมีจิตใจโอบอ้อมอารีย์
           เพราะเขามีความรู้สึกที่อยากจะเข้าใจคนอื่น มีจิตใจเผื่อแผ่ มากกว่าตัดสินในสิ่งที่คนอื่นทำ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนพวกนี้มีแต่คนชอบ มีแต่คนรัก ทำอะไรก็ราบรื่น

15.  พวกเขาอาจจะไม่รวย แต่พวกเขารู้จักใช้ และเก็บออม
             การเดินทางไปเที่ยวบ่อยๆ สอนให้เขารู้ว่าเขาต้องเก็บเงิน ประหยัดเงินใช้จ่ายอย่างถูกวิธีตามที่ต่างๆ เพื่อเอาตัวรอดได้ และนั่นเป็นการปลูกฝังการบริหารจัดการเงินได้ดี



ที่มา : lifehack


ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ ก็อย่าลืมแบ่งปันเรื่องราวดีๆ แบบนี้ให้เพื่อนๆ และคนรอบข้างของคุณด้วยล่ะ  แชร์เลย!