30 กันยายน 2559

10 ไลฟ์สไตล์ ทำให้คุณแก่ก่อนวัย




ความแก่ เป็นสิ่งที่หลายคนไม่พึงปรารถนา ไม่แปลกที่หลายคนจะสรรหาสารพัดวิธีมาทำให้ตัวเองดูเด็กลง จนบางทีอาจลืมปัญาที่ต้นเหตุ
ซึ่งสาเหตุของการแก่ก่อนวัยนั้นนอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว ปัจจัยการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคุณก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ความอ่อนเยาว์ลดลงได้

วันนี้เราจึงมี 10 ไลฟ์สไตล์สุดพังที่ทำให้คุณแก่ก่อนวัย มานำเสนอ รู้แล้วอย่าลืมปรับเปลี่ยนเพื่อความอ่อนวัยและสุขภาพที่ดีของคุณ
1. สูบบุหรี่
นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งปอดและทางเดินหายใจ การสูบบุหรี่ยังส่งผลโดยตรงกับการลดทอนความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ เพราะสารนิโคตินที่มีอยู่ในบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงผิวหนังหดตัวลง เป็นเหตุให้ผิวได้รับสารอาหารและออกซิเจนน้อยลง ในขณะเดียวกันก็ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียจากเซลล์ผิวหนังเกิดการสะสม ทำให้เซลล์ไม่เจริญเติบโตและการซ่อมแซมตัวเองก็เป็นไปอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดคือที่มาของริ้วรอยก่อนวัย
2. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อุดมไปด้วยอนุมูลอิสระที่พร้อมทำให้เซลล์เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร ไม่เพียงผิวหน้าที่จะดูทรุดโทรมลง ผิวกายรวมถึงเส้นผมก็จะอยู่ในภาวะที่อ่อนแอลงด้วย เรียกว่าทาครีมหรือดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระมากมายแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ หากคุณยังคงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักต่อไป
3. ติดน้ำอัดลม
ไม่เพียงสร้างส่วนเกินที่ไม่พึงประสงค์ให้กับร่างกาย น้ำอัดลมยังทำให้เราแก่ขึ้นอีกด้วย ปฏิกิริยาความหนืดของน้ำตาลจะเข้าไปรบกวนการทำงานของเซลล์ผิวหนัง ทั้งทำลายอิลาสตินและชะลอการสร้างคอลลาเจน ผลลัพธ์คือผิวหนังจะหมองคล้ำลง และสิ่งที่แก้ยากยิ่งกว่าคือริ้วรอยที่จะมาปรากฏบนใบหน้า ทั้งเส้นริ้วเล็กๆ รวมไปถึงร่องลึกในบริเวณที่หลายคนกลัว ไม่ว่าจะเป็นรอยตีนกา ร่องแก้ม มุมปาก หรือผิวรอบดวงตา
4. ดื่มชา-กาแฟมากเกินพอดี
แม้เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างชาและกาแฟจะเป็นเครื่องดื่มที่คนทำงานส่วนใหญ่ขาดไม่ได้ เพราะสองอย่างนี้ช่วยสร้างความกระปี้กระเปร่าได้เป็นอย่างดี แต่บอกเลยว่าหากดื่มมากเกินไป ผลเสียที่จะเกิดกับร่างกายได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ โดยเฉพาะความแก่ที่จะมาเยือนเร็วกว่ากำหนด เพราะทุกครั้งที่เราดื่มชาหรือกาแฟ ร่างกายจะอยู่ในภาวะขาดน้ำ ผลที่ตามมาคือผิวหนังจะแห้งและเมื่อแห้งมากๆ ก็จะเกิดการเหี่ยวย่นตามมา ข้อควรปฏิบัติคือไม่ควรดื่มชาหรือกาแฟมากเกินไป และทุกครั้งที่ดื่มควรดื่มน้ำชดเชยเพื่อลดอาการขาดน้ำด้วย
5. ไม่ทาครีมกันแดด
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าแสงแดดคือตัวการสำคัญที่พรากความอ่อนเยาว์ไปจากผิวพรรณ ด้วยรังสียูวีมีอาณุภาพในการทะลุผ่านชั้นผิวหนังตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้าไปจนถึงหนังแท้เลยทีเดียว เมื่อไม่ทำการปกป้องผิวด้วยด้วยการทาครีมกันแดดประสิทธิภาพสูง ปัญหาผิวต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นมากมาย ทั้งความหมองคล้ำ กระ ฝ้า จุดด่างดำ รวมถึงความแห้งกร้านและเหี่ยวย่นที่เป็นสัญลักษณ์ของความแก่ที่ใครๆ ก็ไม่ต้องการ ฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ในที่ร่มหรือกลางแจ้ง และสภาพอากาศจะเป็นแบบไหนก็ไม่ควรละเลยการทาครีมกันแดด
6. ดื่มน้ำน้อย
น้ำคือส่วนประกอบหลักของร่างกาย และน้ำก็เป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์ผิวหนัง จึงไม่แปลกเมื่อเราดื่มน้ำในปริมาณที่น้อยกว่าที่ควรผิวหนังจะเกิดภาวะขาดน้ำ และหากปล่อยให้เกิดภาวะนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ผลที่ตามมาคือผิวจะเกิดความแห้งกร้าน หมองคล้ำ เกิดริ้วรอย และแก่ก่อนวัย หากอยากจะมีผิวพรรณที่ดูเปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์ไปนานๆ ควรเคร่งครัดกับการดื่มน้ำให้มากขึ้น
7. ไม่รับประทานผักผลไม้
นอกจากน้ำที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับเซลล์ผิวแล้ว วิตามินและเกลือแร่ที่มีในผักผลไม้หลากหลายชนิดก็เป็นอีกส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแรงให้กับผิว ในทางตรงกันข้ามหากเราไม่รับประทานผักผลไม้เป็นประจำ ผิวหนังจะขาดสารตั้งต้นในการสร้างเซลล์ใหม่และผลัดเซลล์เก่า ที่สำคัญไม่ควรรับประทานผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่ควรเลือกให้หลากหลาย เพื่อให้สุขภาพผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างครบถ้วน
8. ไม่ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายให้ประโยชน์กับร่างกายมากมาย หนึ่งในนั้นคือการช่วยชะลอความแก่ เพราะทุกครั้งที่เราได้ออกกำลังกาย เลือดจะสูบฉีด ทำให้ผิวพรรณดูสดใส เปล่งปลั่ง สุขภาพดีจากภายในอย่างแท้จริง นอกจากใบหน้าและผิวจะดูอ่อนเยาว์แล้ว การออกกำลังกายยังส่งเสริมรูปร่างให้ฟิตและเฟิร์มขึ้น และแน่นอนว่าเมื่อมีทั้งหน้าตาที่สดใสบวกกับร่างกายที่ได้สัดส่วน เราก็จะดูเด็กลงโดยอัตโนมัติ
9. นอนดึก
การนอนหลับให้เพียงพอและการนอนไม่ดึกคือทางเลือกที่ดีที่สุดของทุกเพศทุกวัย สำหรับใครที่อยากดูเด็กไปนานๆ ควรนอนหลับตั้งแต่ 4 ทุ่ม เพราะช่วงเวลาระหว่าง 4 ทุ่ม ถึงตี 2 จะเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่ทำให้หลับลึก ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แถมในช่วงที่เราหลับลึกร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ในการสร้างโปรตีนให้กับร่างกายออกมา ทั้งคอลลาเจน กล้ามเนื้อ และกระดูก แถมช่วยลดไขมันที่สะสมในส่วนต่างๆของร่างกายด้วย เรียกว่าทำให้ทั้งหน้าเด็ก ผิวดี กระดูกแข็งแรง และหุ่นดีไปพร้อมๆ กัน
10. ความเครียด
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าความเครียดสามารถทำให้คนเราแก่ลงกว่าที่ควรถึง 7-8 ปี โดยมีผลการศึกษาที่เจาะลึกลงไปด้วยว่าอะไรเป็นสาเหตุแห่งความเครียดของผู้หญิง โดย 5 สาเหตุหลักๆ คือการสูญเสียคนรัก การเปลี่ยนงาน การย้ายไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย การแต่งงาน และการหย่าร้าง ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ เมื่อรู้ว่าความเครียดอยู่ใกล้ตัวแบบนี้ก็ควรรู้เท่าทันความคิดตัวเอง และหาวิธีผ่อนคลายอยู่เสมอ




ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
หากชอบ และถูกใจ  กดแชร์ แบ่งปันกันไปนะคะ  ^^  

4 เคล็ดลับ ต้านหน้าแก่ !!



ผู้หญิงสมัยนี้คงไม่ชอบแน่ๆ  เมื่อเจอเพื่อนทักว่าหน้าแก่ก่อนวัย เพียงแค่อายุ 20 ปลายๆ เท่านั้นเอง ทำให้พวกเธออายและ ขาดความมั่นใจไปเลย แต่จะให้ปฏิเสธอย่างไรก็หนีไม่พ้นหลักฐานบนใบหน้า และปัญหานี้จะหมดไปหาดสาวๆ หันมาดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอกให้ดีขึ้น เพียงแค่นี้ก็สามารถเรียกความเด็กกลับมาได้

อีกหนึ่งวิธีที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ง่ายๆ คือการเพิ่มฮอร์โมนต้านหน้าแก่ กล่าวคือ  เมื่อคนเราอายุย่างเข้า 20 ปี ระดับฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (Human Growth Hormone : HGH) จะเริ่มลดลง เมื่อเราอายุ 65 ปีร่างกายจะมีระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโตน้อยมากหรือไม่มีเลย
การลดลงของฮอร์โมนชนิดนี้จะเกิดร่วมกับความน่ากลัวหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับความชรา ตั้งแต่ผิวหนังเหี่ยวย่น เอวมีห่วงยาง และขาดชีวิตชีวา แต่เราสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนชนิดนี้โดยธรรมชาติด้วยการออกกำลังกาย เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนออกมาตอนสนองต่อกิจกรรมที่ให้ความแข็งแรงต่อร่างกาย เช่น การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์จะให้ผลดีเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับการออกกำลังกายช่วงล่าง (เช่น ยกขา ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของการออกกำลังกาย) อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง

นอกจากนี้ยังสามารถทำควบคู่ กับสิ่งนี้ได้ด้วย
1.รอยเหี่ยวย่นเป็นตัวการสำคัญที่บ่งบอกถึงความแก่
         โดยจะมักขึ้นที่ใบหน้าเมื่อเราแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า เช่น โกรธ ดีใจ หัวเราะ ยิ้ม เป็นต้น จะทำให้เกิดรอยล่องลึกขึ้นบริเวณ หางตาทั้งสองข้าง บริเวณข้างแก้ม และหน้าผาก แนะนำให้ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในตอนเช้าทุกวัน จะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นพร้อมรับวันใหม่มากขึ้นแล้ว การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นยังช่วยลดความบวมของหน้าในช่วงเพิ่งตื่นนอนได้อีกด้วย ลองสังเกตง่ายๆ สาวๆ เกาหลี ญี่ปุ่น มักจะผิวขาวใส ส่วนหนึ่งก็มาจากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในทุกเช้านั้นเอง

2.เลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
     ควรบริโภคมื้อเช้าทุกวัน เลือกอาหารไขมันต่ำ พยายามเลี่ยงอาหารมันๆ กะทิ หรือของทอด และควรทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงอย่างสม่ำเสมอ ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนให้น้อยลง งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

3.อารมณ์ดี มองโลกแง่บวก มีอารมณ์ขัน
     สังเกตสาวๆ หนุ่มๆ ที่อารมณ์ดี มองโลกในแง่บวก และมีอารมณ์ขันมักจะดูเด็กและสดใสอยู่เสมอ นอกจากช่วยให้สุขภาพจิตดี ส่งผลให้ผิวพรรณดีแล้ว ยังเป็นเสน่ห์ต่อผู้พบเห็น เพราะใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้พูดคุย คบหากับคนทีสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้เราได้เสมอ

4.ปกป้องผิวของคุณจากแสงแดดด
     ก่อนออกจากบ้านควรทาครีมกันแดดทุกครั้งไม่ว่าจะไปที่ไหนเพราะแสงแดดแรงๆ นั้นส่งผลเสียกับผิวของคุณมากกว่าที่คิด เนื่องจากแดดแรงๆ ที่สาดเข้ากระทบกับผิว จะทำให้ผิวคล้ำเสียไม่สม่ำเสมอ แถมยังทำให้ผิวดูแก่ก่อนวัยอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หากวันไหนที่แดดแรงจัด ก็ควรสวมหมวกหรือถือร่ม และสวมแว่นกันแดดป้องกันอีกชั้นด้วย


ที่มา : ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 องศา


หากชอบ และถูกใจ  กดแชร์ แบ่งปันกันไปนะคะ  ^^  

29 กันยายน 2559

เคล็ดลับ การกินเจอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด !!


เทศกาลกินเจ ในปี 2559  นี้ ตรงกับวันที่ 1-9 ตุลาคม หลายคนอาจจะเคยร่วมเทศกาลกินเจ หรือเทศกาลกินผักนี้มาหลายครั้งแล้ว หรือบางคนอาจจะเพิ่งเริ่มปีนี้ เพื่อถือโอกาสทำบุญ และเพื่อสุขภาพที่ดีจากอาหารเจ แต่หากอยากร่วมเทศกาลกินเจแล้วให้ได้บุญสูงสุด  เพียงแค่งดเนื้อสัตว์อย่างเดียวไมพอแน่ๆ  มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยให้คุณอิ่มบุญอย่างเต็มที่กันค่ะ

เคล็ดลับการกินเจ ให้ได้บุญสูงสุด

1. อยากกินเจ... จริงๆ
สำรวจตัวเองก่อนนิดนึงว่า คุณอยากกินเจเพราะอะไร เพราะอยากได้บุญ เพราะอยากละเว้นชีวิตสัตว์โลกสักช่วงหนึ่งในชีวิต หรืออยากได้สุขภาพที่ดีจากการงดทานเนื้อสัตว์ หากเป็นเหตุผลดังกล่าว รับรองว่าได้ผลบุญเต็มๆ แน่นอน แต่ถ้าคุณอยากกินเจเพราะแค่อยากตามกระแสคนอื่น อันนี้คุณอาจจะต้องพิจารณาตัวเองใหม่แล้วล่ะ
2. อยากกินเจ... ต้องไม่บ่น
เนื่องจากเครื่องปรุงที่หายไปค่อนข้างเยอะ ทำให้อาหารเจมักมีรสชาติไม่อร่อยเท่าอาหารไทยที่เราทานกันอยู่ทุกวัน น้ำปลาเอย ซอสน้ำมันหอยเอย พวกนี้ไม่ได้แตะลิ้นเราแน่ๆ บางคนจึงอาจเปรยเบาๆ (หรือดังๆ) ว่าอาหารเจไม่อร่อย แต่ถึงกระนั้น การทานอาหารเจ เราไม่ได้ทานเอาอร่อย เราทานเอาอิ่ม และทานเพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่ ดังนั้นเรื่องรสชาติต้องเป็นรอง ขอให้คิดว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ยิ่งทาน ยิ่งได้สุขภาพดีนะคะ
3. อยากกินเจ... ต้องไม่งก
เราเข้าใจว่าบางทีก็ทำได้ยาก เห็นราคาผัก ราคาอาหารเจตามห้างร้านต่างๆ แล้วอาจจะทำใจไม่ได้ หรือพอลองเอาราคาอาหารปกติมาเทียบด้วยแล้ว ยิ่งปริ๊ด “ทำไมจู่ๆ ร้านนี้ขายข้าวราดแกงธรรมดา 30 พอเป็นอาหารเจขึ้นเป็น 50 เฉยเลย” หากอยากได้บุญ ต้องพยายามใจเย็น แล้วทำความเข้าใจกับราคาข้าวของในช่วงนี้ ว่ามันต้องขึ้นราคาเป็นธรรมดา หากรับราคาไม่ไหว ลองทำทานเองที่บ้าน อร่อยและคุ้มค่ามากกว่าแน่นอน
4. อยากกินเจ... ไปทุกๆ วัน
ช่วงเวลา 10 วัน ดูไม่เร็วไม่ช้า แต่เรากินๆ หยุดๆ ขอผลัดวันไปกินเพิ่มวันอื่นแทน แบบนี้ไม่ได้ เราต้องมีวินัยกับตัวเอง ตั้งใจกินเจแล้ว ก็ต้องกินเจให้ได้ตามเวลา และครบจำนวนวันที่กำหนด ยิ่งหากมีใจอยากกินเจไปเรื่อยๆ หลังเทศกาลกินเจไปแล้วก็ยังกินอยู่ แบบนี้ได้บุญเต็มๆ
5. อยากกินเจ...ด้วยรอยยิ้ม
แบ่งปันช่วงเวลากินเจกับคนรอบข้าง ครีเอตเมนูอาหารเจใหม่ๆ สนุกกับอาหารเจหลากหลายเมนู หากคุณกินอาหารเจด้วยความรู้สึกที่ดี มากกว่าต้องทนกินอาหารเจที่ไม่ชอบไปวันๆ ล่ะก็ รับรองว่าผลบุญที่คุณได้มากขึ้นอย่างแน่นอน
6. อยากกินเจ...คู่ไปกับการถือศีล
แน่นอนว่าคำนี้มาคู่กัน “ถือศีล กินเจ” เมื่อเรากินแต่ของดีๆ ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตแล้ว เราก็ต้องพูดดี ทำดี ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีด้วย จะได้มีทั้งร่างกาย และจิตใตที่บริสุทธิ์ผุดผ่องยังไงล่ะ

     หากคุณทำตามเคล็ดลับง่ายๆ เหล่านี้ เชื่อเถอะค่ะว่าคุณจะคิดว่าการกินเจไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย ขอแค่มีจิตใจที่ดี ที่อยากร่วมสร้างบุญกุศลให้กับตัวเองจริงๆ ขอให้เทศกาลกินเจในปีนี้ ทุกคนได้บุญกันถ้วนหน้า ชีวิตมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกันนะคะ



ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Cityvariety.com

หากชอบ และถูกใจ  กดแชร์ แบ่งปันกันไปนะคะ  ^^  

เคล็ดลับ กินเจยังไงไม่ให้อ้วน!!




เคล็ดลับ กินเจยังไงไม่ให้อ้วน!!

     ใครที่ชอบทานอาหารเจ ที่ทำจากโปรตีนเกษตร ต้องลองคำนวณแคลลอรี่ในบางเมนู เช่น  ผัดพริกขิงโปรตีนเกษตร ถ้าทานในปริมาณ 100 กรัม จะมีแคลลอรี่สูง ถึง 424 กิโลแคลลอรี่  ส่วนหมี่ซั่วผัด หรือผัดหมี่ซั่ว ซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมในเทศกาลกินเจ 1 จานมีปริมาณแคลลอรี่ที่น่ากลัว ไม่แพ้กันคือ 395 กิโลแคลลอรี่   จึงควรเลือกทานต้มจับฉ่ายเจ แทน เพราะเปี่ยมไปด้วยประโยชน์ จากผักต่างๆ 1 ถ้วยให้พลังงานเพียง 180 กิโลแคลลอรี่ และแม้แต่ของว่างของคนเหงาปาก ก็ต้องเลือกให้ดี เพราะมันทอด 2 ชิ้น ให้พลังงานถึง 248 กิโลแคลอรี่  เพียงข้าวโพดแผ่นทอด 1 ชิ้นก็ 155 กิโลแคลอรี่ และปาท่องโก๋ 1 ชิ้น แคลลอรี่ก็สูงถึง 125 กิโลแคลอรี่ 

   สำหรับ คนที่เพิ่งกินเจเป็นครั้งแรกอาจจะรู้สึกโหย อยากรับประทานเนื้อสัตว์ จนทำให้หน้ามืด คว้าทุกอย่างที่ขวางหน้ามาทาน แล้วก็ต้องมาลดน้ำหนักกันหลังจากออกเจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ  ถ้าอย่างนั้นลองเช็คแคลลอรี่ก่อนกินอาหารเจ กันดีกว่า 


เทียบทุกแคล วัตถุดิบอาหารเจ (เฉพาะส่วนที่ใช้กินได้หนัก 100 กรัม)

งาขาวคั่ว  697 Kcal
วุ้นเส้น   337 Kcal
ถั่วงอก   39 Kcal 
งาดำอบ   625 Kcal
เนื้อฟักทอง   128 Kcal
กะหล่ำปลี   16 Kcal
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์คั่ว   597 Kcal
เผือก   117 Kcal
ผักกวางตุ้ง   14 Kcal 
ถั่วลิสงดิบ    538 Kcal
มันฝรั่ง   73 Kcal
เห็ดหูหนู 50 Kcal
ถั่วเหลืองคั่ว 435 Kcal 
ถั่วลันเตา 58 Kcal
เห็ดนางฟ้า 35 Kcal



  นอกจากคำนวณแคลลอรี่แล้วก็ต้องเลือกวิธีการประกอบอาหารด้วย โดยเลือกการนึ่ง ต้ม หรือตุ๋น มากกว่าการทอดด้วยน้ำมัน เลือกทานธัญพืชและข้าวกล้อง เลี่ยงการทานหวาน และเลือกทานผักใบเขียวให้มากๆ เพียงเท่านี้กินเจ กี่ที ก็ไม่มีอ้วน



ที่มา: openrice.com

หากชอบ และถูกใจ  กดแชร์ แบ่งปันกันไปนะคะ  ^^  

27 กันยายน 2559

อาหารจำเป็น สำหรับสาวๆ อายุ 30 อัพๆ มีอะไรบ้าง?

อาหารจำเป็น สำหรับสาวๆ อายุ 30 อัพ มีอะไรบ้าง



         อาหารจำเป็น ต่อร่างกายเสมอ ใครก็รู้ วันนี้เราเลยจัด   5 เมนูสุขภาพมาฝากสาวๆ เป็นซุปเปอร์ฟู๊ดส์ ที่ขาดไม่ได้ เพื่อเอาไว้ดูแลสุขภาพและป้องกันโรคเสี่ยงที่เป็นกันในหมู่ผู้หญิงเราเมื่ออายุอานามมากขึ้น ไปดูกันเลยคะ ว่ามีอะไรบ้าง
1.  โยเกิร์ตไขมันต่ำรสธรรมชาติ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และการติดเชื้อในช่องคลอด นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงป้องกันปัญหากระดูกพรุนได้ด้วย
        # กินมากแค่ไหน   รับประทานสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

2.ปลาที่มีไขมัน ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี ซึ่งพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 
       กินมากแค่ไหน   รับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง



3.  ถั่ว ทั้งถั่วที่กินได้ทั้งฝัก เช่น ถั่วแขก ถั่วพู ถั่วฝักยาว และถั่วเมล็ดรูปไต เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง มีไฟเบอร์สูง มีสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส ซึ่งช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม ที่สำคัญส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิง
       #กินมากแค่ไหน   รับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง


4.  มะเขือเทศ แตงโม มีสารไลโคปีน ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ทำให้ดูอ่อนเยาว์ เพราะช่วยป้องกันผิวไม่ให้ถูกรังสีอัลตร้าไวโอเลตทำลาย
       #กินมากแค่ไหน   รับประทานสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง


5.  เบอร์รี่ เบอร์รี่  เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ มีแอนโตไซแอนส์ (anthocyans) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมเซลล์ในร่างกายของเรา นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ยืนยันว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งระบบทางเดินอาหาร
        #กินมากแค่ไหน   รับประทานสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง





ที่มา : cheewajit

หากชอบ และถูกใจ  กดแชร์ แบ่งปันกันไปนะคะ  ^^  


รู้ไหม..ความเครียด ทำให้เกิดโรคร้ายอะไรบ้าง !!

13 โรคร้ายจากความเครียด....   เครียด มาก! ทำยังไงดี ?




           นายแพทย์โรเบิร์ต เอ็ม ซาโปลสกี นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดให้ความหมายว่า เครียด คือสิ่งที่เข้ามาขัดขวางระบบการควบคุมตัวเองตามธรรมชาติของร่างกาย ร่างกายจะปรับความดันเลือด อุณหภูมิ อัตราความเครียดทางอารมณ์ กระตุ้นให้เกิดการระเบิดพลังทางร่างกาย ซึ่งเหมาะจะใช้ในสงครามการสู้รบหรือการหนีมากกว่าจะใช้จักการกับความขัดแย้งในความสัมพันธ์
   ส่วนสาเหตุของความเครียดนั้นมีมากมาย เช่น อะไรก็ตามที่กระตุ้นความรู้สึกรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก  เจ็บปวด (ความโกรธ ความเศร้า หรือความกลัว) หรือพึงพอใจ (ความยินดี หรือความตื่นเต้น) ก่อให้เกิดปฏิกิริยาความเครียดได้ทั้งสิ้น ตัววัดง่ายๆ คือ การเปลี่ยนแปลง เมื่อสถานการณ์หรือกิจวัตรเปลี่ยนไปไม่ว่าในทางดีหรือทางเลว ซึ่งทำให้เราต้องพยายามปรับตัว การพยายามปรับตัวและการคาดเดาอะไรไม่ได้นี่เองที่รวมตัวเป็นความเครียดเช่นกัน


เครียด จนฮอร์โมนพลุ่งพล่าน

อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูแห่งองค์ความรู้ชีวจิตอธิบายผลจากความเครียดไว้ว่า “ก่อนอื่นคงต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่าเรื่องของความเครียดไม่ใช่เรื่องของจิตใจหรืออารมณ์ดังที่เข้าใจกันดังแต่ก่อน หากแต่เป็นเรื่องของจิตใจและร่างกายร่วมกันอย่างแยกไม่ออก

“นายแพทย์ฮันส์ เซลเยอ แพทย์ชาวออกเตรียผู้ศึกษาเรื่องฮอร์โมนกล่าวว่า เมื่อคนเราเกิดความเครียด ฮอร์โมนกว่า 30 ชนิดจะเกิดการปั่นป่วน ฮอร์โมนบางตัวจะหายไปหรือหยุดทำงาน และฮอร์โมนบางตัวอาจจะทำงานหนักมากเกินไป การสับสนและปั่นป่วนของฮอร์โมนนี้ทำให้เกิดการเจ็บป่วยทางกาย เริ่มตั้งแต่เจ็บป่วยเล็กน้อยไปจนถึงป่วยหนักได้”

เครียดมากก่อโรค ได้มหาศาล

“ความเครียดอย่างต่อเนื่องส่งผลร้ายต่อร่างกาย การวิจัยร่างกายทุกส่วนแสดงให้เห็นวิธีที่ฮอร์โมนความเครียดทำลายระบบหลอดเลือด หัวใจ ระบบการย่อยอาหาร และระบบอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากระบบภูมิคุ้มกัน มีหลักฐานบ่งชี้ว่าการหลั่งฮอร์โมนความเครียดในระดับสูงอย่างต่อเนื่องอาจทำลายสมอง ทำให้ความจำเสื่อม เกิดความวิตกกังวล และไม่สามารถควบคุมการระเบิดของอารมณ์ได้ ฮอร์โมนความเครียดยังส่งผลโดยตรงกับอวัยวะในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ต่อมไทมัส ต่อมน้ำเหลือง ไขกระดูก และม้าม ต่อมไทมัส”
นายแพทย์สมภพ เรืองตระกูล อธิบายต่อจากนั้นว่า ความเครียดอาจทำให้เป็นโรคต่างๆหรือมีอาการโรคกำเริบดังนี้ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
คือ 1. โรคทางกาย และ 2. โรคทางจิตเวช

โดยโรคทางกาย มีตัวอย่างโรคดังนี้

1. โรคหัวใจขาดเลือด – ความเครียดมีผลต่อหัวใจและหลอดเลือดหัวใจคือ ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท ซิมพาเทติก ทำให้โรคหัวใจขาดเลือดทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และเร่งให้เกิดการทำลายชั้นเซลล์ของผนังหลอดเลือดแดง
2. ความดันโลหิตสูง – มีการศึกษาพบว่าผู้ที่มีความวิตกกังวลอยู่เป็นประจำมีโอกาสเกิดความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า นอกจากนี้ผู้ที่มีภาวะความเครียดจากงานซึ่งมีผลมาจากความทะเยอทะยานสูงโดยขาดการยับยั้งใจ จะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจช่องซ้ายโต
3. โรคเบาหวาน – ในผู้ป่วยโรคเบาหวานพบว่าปัจจัยด้านจิตใจมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาล เพราะฮอร์โมนซึ่งเกิดเนื่องจากความเครียดจะผลต่อการตอบสนองของอินซูลิน ทำให้ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้

4. โรคหอบหืด – ความวิตกกังวลจะเป็นตัวกระตุ้นให้อาการหอบหืดทรุดหนักไปอีก เนื่องจากผู้ป่วยมีประสบการณ์หายใจไม่ออกรุนแรงซ้ำๆ เมื่อเกิดความเครียดวิตกกังวลว่าจะหายใจไม่ออกจึงเป็นการกระตุ้นอาการโรคขึ้นมาอีก

5. ภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ – ความเครียดฉับพลันมีผลอย่างมากต่อเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจซึ่งจะทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอยู่ก่อนแล้วมีโอกาสหัวใจวายสูงขึ้น
6. ข้ออักเสบรูมาทอยด์ – พบว่าบุคลิกภาพของผู้ป่วยโรคนี้มีลักษณะที่สัมพันธ์กับความเครียดอยู่มากทีเดียว เช่น การเก็บกด ชอบความสมบูรณ์แบบ ชอบความโดดเดี่ยว ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ ชอบความเจ็บปวดและมีอารมณ์ซึมเศร้าร่วมด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าความเครียดมีแนวโน้มกระตุ้นให้เกิดโรค
7. โรคแผลในกระเพาะอาหาร – ปัจจัยทางจิตใจมีผลทำให้สารคัดหลั่งในกระเพาะอาหารออกมามาก นอกจากนี้วิถีชีวิตที่เครียดจะทำให้เกิดความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งทำให้เกิดความอ่อนแอต่อการได้รับเชื้อ H. pyroli ซึ่งเป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้
8.โรคผิวหนัง – โรคผิวหนังบางชนิดพบว่ามีความผิดปกติของระบบประสาทด้วย ดังนั้นหากเกิดความเครียดยิ่งจะทำให้อาการโรคผิวหนังกำเริบขึ้นอีก เช่น อาการลมพิษที่อาจเกิดขึ้นตามหลังการเกิดความเครียดฉับพลัน
9. ภูมิแพ้ – ความเครียดจะไปกดระบบภูมิคุ้มกันโดยผ่านฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ในขณะเดียวกันความเครียดยังไปกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ แต่มีผลให้ระบบภูมิคุ้มกันพร่องไป และอาจทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
10. มะเร็ง – มีการศึกษาหนึ่งพบว่า หนูที่มีสารก่อมะเร็งเมื่อถูกกดดันให้เครียด จะมีอัตราการลุกลามของมะเร็งเร็วกว่าหนูที่ไม่ได้ถูกกระตุ้นให้เครียด จึงอาจกล่าวได้ว่าความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญในการลุกลามของโรค นอกจากนี้นักวิจัยชาวอเมริกาจากศูนย์มะเร็งพิตเบิร์กพบว่า ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่รู้สึกว่าไม่ได้รับกำลังจากครอบครัว เซลล์มะเร็งจะมีปัญหามากขึ้นกว่าผู้ป่วยในโรคเดียวกัน
11. ไมเกรน – ความเครียดส่งผลให้สารซีโรโทนินในสมองพร่องไป การขาดซีโรโทนินจะทำให้หลอดเลือดเกิดพองขยายและหดตัวมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้
12. อาการปวดกล้ามเนื้อและนอนไม่หลับ – ความเครียดเรื้อรังจะส่งผลให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกิดการตึงตัว และทำให้มีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว รวมไปถึงกระตุ้นวงจรการนอนหลับให้ผิดปกติ
13. อาการผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ – ความเครียดส่งผลให้ความต้องการทางเพศลดลง มีการปวดประจำเดือน และมีโอกาสเป็นหมัน และพบว่าผู้ที่เครียดบ่อยๆพบการแท้งขณะตั้งครรภ์ได้บ่อย


โรคจิตเวชที่เป็นผลมาจากความเครียดคือ อาการซึมเศร้าและวิตกกังวล พบว่าผู้ที่มีความเครียดเรื้อรังและไม่สามารถผ่อนนคลายจะมีปัญหาเป็นโรคซึมเศร้า และวิตกกังวลได้สูงกว่าคนทั่วไปทำให้คุณภาพชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล รวมถึงหน้าที่การงานแย่ลง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างดี พบว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง โดยมีข้อมูลว่า ร้อยละ 45 ของผู้ที่ฆ่าตัวตายเป็นโรคซึมเศร้า
นอกจากนี้พบว่าผู้ที่เครียดจะมีพฤติกรรมติดสารเสพติด เช่น บุหรี่ เหล้า และสารเสพติดอื่นๆ

ปรับชีวิต บรรเทาเครียด
·         ควรนอนเร็วให้เป็นเวลาและตื่นเช้าให้เป็นเวลา เพื่อทำให้นาฬิกาชีวิตเป็นปกติ ไม่รู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลีย
·         หากเกิดอาการเครียดต้องรู้จักจัดเวลาให้ร่างกายได้พักผ่อน เช่น การปฏิบัติธรรม การลาพักร้อนไปท่องเที่ยว
·         ให้เวลากับครอบครัวและสังคม
·         รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผักผลไม้
·         หยุดกินยาคลายเครียด และยาแก้โรคซึมเศร้า
·         ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
·         จัดสรรเวลาการทำงานให้สมดุลกับชีวิตด้านอื่นๆ


------------------------------------------------------
ที่มาข้อมูลเรื่อง “13 โรคร้ายจากความ เครียด” จากนิตยสารชีวจิต
หากชอบ และถูกใจ  กดแชร์ แบ่งปันกันไปนะคะ  ^^  

ก่อนวิ่งมาราธอน.....ต้องเตรียมอะไรบ้าง ?


ตอบโดย : ครูดิน สถาวร จันทร์ผ่องศรี 

ไม่ว่าคุณจะมีอายุการวิ่งยาวนานเท่าไหร่
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิ่งระดับไหนก็ตาม
จะแนวหน้า แนวกลาง แนวหลังจนถึงหลังสุดๆ 

ก่อนการลงวิ่งมาราธอน
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักการเตรียมตัวที่ดี
ถึงแม้ว่าจะไม่หวังผลการแข่งขันจะต้องมีอันดับ
แต่ที่สำคัญที่สุด คุณจะแพ้ให้กับตัวเองไม่ได้
โดยเฉพาะการแพ้ที่เกิดจากการเตรียมตัวไม่ดี
ไม่ถูกต้องหรือเหมาะสม

ผลการแพ้ชนะในที่นี้ คือ
การแพ้ชนะในมาตรฐานของตัวเองหรือ เป้าหมายที่ได้วางไว้
สัปดาห์สุดท้ายก่อนลงแข่งขัน
เตรียมร่างกาย
ระยะนี้เราจะชะลอการสร้างเสริม
ระบบต่างๆของร่างกายยกเว้นระบบพลังงาน
ที่เราจำเป็นต้องเพิ่มกรรมวิธีจากปกติ
เพื่อเพิ่มการจัดเก็บสารสร้างพลังงานให้มากขึ้น
ในขณะเดียวกันต้องฟื้นฟูสภาพ
และรักษาขีดความสามารถที่มีอยู่
ให้สมบูรณ์ที่สุดเมื่อถึงเวลาแข่งขัน

วิธีการเสริมสร้างสารพลังงาน
ระบบพลังงานมีความสำคัญสูงมาก
สำหรับนักกีฬาทุกประเภท 
แต่จะสำคัญมากที่สุด สำหรับนักกีฬา
ที่ต้องใช้ระยะเวลาและความหนักที่มากกว่าปกติ
จึงต้องมีการฝึกซ้อมที่มีรูปแบบที่มีความเฉพาะอย่าง
ในการที่จะสร้างให้ระบบพลังงานมีประสิทธิภาพสูงที่สุด
ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาจากการฝึกซ้อมที่สะสมมา
ไม่ใช่การมาเร่งในช่วงระยะเวลาสั้นๆที่จะผลต่อร่างกายในอนาคต

วางแผนเพื่อปรับวิถีชีวิต
การวิ่งมาราธอน
ต้องใช้ระยะเวลาที่นาน
จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารก่อนการแข่งขัน
สมมุติว่าแข่งเวลา 05.00 น.
ต้องรับประทานอาหารก่อน 02.00น.
เป็นอาหารที่ย่อยง่าย เน้นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
แต่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป
เพราะจะมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
เกิดผลในด้านปฎิกิริยาทางเคมี
ทำให้ความสามารถทางด้านความอดทนจะลดลง
ควรเสริมน้ำตาลที่ได้จากผลไม้

การลงแข่งวิ่งมาราธอนนั้น
ต้องฝึกการปรับตัวให้นอนเป็นเวลา
อาจจำเป็นต้องนอนตั้งแต่ 2 ทุ่มเพื่อตื่นนอนตอนตี 2
ลุกขึ้นมารับประทานอาหารเบาๆ
ออกวิ่งตอน 05.00 น. ก่อนการแข่งขัน 1 สัปดาห์
เพื่อให้ร่างกายได้คุ้นเคย กับการเปลี่ยนแปลงจากเวลาปกติ

เตรียมชุดแข่งขันและรองเท้าแข่งขัน
ควรใช้ถุงเท้าและรองเท้าที่ใช้ซ้อมเป็นประจำ
ไม่ควรใช้รองเท้าที่เพิ่งซักมาใหม่
หรือเป็นรองเท้าใหม่ที่ไม่เคยใช้
ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อใช้รองเท้าแข่งขัน
ก็ควรที่จะนำออกมาใช้ซ้อมก่อน ล่วงหน้า1-2สัปดาห์
ส่วนชุดที่ใช้ในการแข่งขันควรเป็นชุด ที่ผ่านการใช้มาแล้ว
ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป
ให้มีจุดที่จะต้องเสียดสี กับร่างกายน้อยที่สุด

วางแผนการวิ่ง
ศึกษาเส้นทางการวิ่งให้ละเอียด
ถ้าเป็นไปได้ควรที่จะไปสำรวจเส้นทางด้วยตัวเอง
เพื่อที่ได้ทราบถึงอุปสรรคของสนามแข่งขัน
เช่นมีเนิน มีสะพาน มีทางโค้ง ทางเลี้ยวทางเลี้ยวหักศอก
แล้วนำมาวางแผนการวิ่งให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตัวเอง
ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสอบสภาพอากาศ อุณหภูมิในวันแข่งขัน

การวางแผนการวิ่ง
ควรที่จะวางเป็นระยะทางสั้นๆ เช่นทุก 5 กม.
กำหนดเวลาการวิ่งที่วางแผนไว้
ในระยะแรกๆไม่ควรวิ่งเร็วกว่าเวลาที่วางไว้เป็นอันขาด
เวลาที่วางไว้ควรปรับเพิ่มตามอุปสรรคที่มี
วางแผนการวางจุดให้น้ำหรืออาหารเสริม
วางแผนการพักผ่อนและการเดินทาง
จุดนี้ก็ควรให้ความสำคัญ
ไม่ควรเสียเวลาในการเดินทางโดยใช่เหตุ
สำรวจและหาที่พักให้ใกล้กับจุดแข่งขัน
ให้ใกล้ที่สุดและควรที่จะเข้าพักก่อนล่วงหน้า 1-2 วัน
เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการนอน
ในบรรยากาศที่แตกต่างจากเดิม
การพักที่ใกล้ๆจะทำให้เรา
มีเวลาที่พักผ่อนและเตรียมตัวได้ดีขึ้น 

-------------------------------------------------------------------------
ตอบโดย  : อ.เปา

สำหรับคนที่จะลงมาราธอนครั้งแรก....ต้องอ่านการเตรียมตัวหลายๆรอบหน่อย
ส่วนคนที่เคยผ่านมาราธอนแล้ว....ก็ถือว่ารู้อุปสรรคชัดเจน
การเตรียมวิ่งระยะมาราธอนจึงจำเป็นต้องเข้าใจให้ดี
หาไม่แล้ว....จะพบกับความยากลำบากที่จะผ่านไป

เมื่อพูดว่าเตรียมตัว....ก็ต้องแปลว่าเตรียมให้ครบทุกระบบที่ใช้วิ่ง
แล้วเราใช้อะไรวิ่งบ้าง ? ต้องคิดให้ดี
วิ่งไปยาวๆ....ระบบใดทนไม่ได้...ก็ต้องหยุดวิ่ง
เวลาใครจะลงมาราธอน...รอบข้างจะมีความห่วงใย
ไม่ใช่กังวลว่าจะไม่สู้....แต่กลัวจะจบไม่สวย

ถ้านักวิ่งคิดว่า..ร่างกายมีปัญหา...ต้องรีบออกจากการแข่งขันทันที
หากขืนวิ่งต่อไป...อาจเกิดการล้มในสนามได้
การล้มของนักวิ่ง...ไม่ใช่สิ่งดี...บางคราวถึงกับเสียชีวิตได้
แล้วมาลองถามว่า จะเข้าใจการเตรียมตัวให้ดีง่ายๆอย่างไร...

คำตอบเรื่องนี้คือการซ้อมวิ่งยาวๆเอาไว้
เพราะมาราธอน คือ การวิ่งยาว จึงอย่าซ้อมแบบวิ่งเร็ว
บทเรียนที่ว่า... ในระยะแรกๆไม่ควรวิ่งเร็วกว่าเวลาที่วางไว้เป็นอันขาด
นี่คือคำสอนอันทรงคุณค่า... 

หากทำตามนี้...ระบบผลิตพลังงานก็ไม่เหน็ดเหนื่อยนั่นเอง
หากเราจะมาพูดให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าเตรียมอย่างไร...
วิธีแรกคือ....วิ่งฮาล์ฟมาราธอนหลายๆครั้ง
หรือ..ซ้อมยาวให้นานประมาณ 3 ชั่วโมง โดยไม่ต้องคาดคิดถึงระยะทาง
การยืนระยะได้ 3 ชั่วโมง...จะทำให้เจอปัญหาต่างๆมากมาย
ร่างกาย...จะพัฒนาความอดทนขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
เมื่อคุ้นกับระยะฮาล์ฟแล้ว....ก็ขยับไปที่ระยะ 30 กม.
เมื่อคุ้นกับระยะ 30 กม. แล้ว ก็ไม่ยากที่จะลงมาราธอนได้

เวลาลงมาราธอนจริงๆ....นักวิ่งจะพบว่าวิ่งง่ายกว่าระยะสั้น
จะไม่เหนื่อยเพราะความไม่เร่งร้อน....หรือเร่งร้อนไม่ได้..เป็นตัวช่วย
ในสนามมารธอน...บรรยากาศแห่งความสุขุม..ใจเย็น..รอบคอบ...จะเกิดขึ้น
จึงเป็นคาถาสำหรับคนจะลงมาราธอนว่าต้อง...
สุขุม...ใจเย็น...รอบคอบ

สอนแบบนี้คือสอนให้จัดเตรียมจิตใจให้พร้อมกันการวิ่งที่ยาวนาน...ภายใต้แรงกดดันต่างๆ...ให้นิ่ง
ใครจะแซง...ให้เขาแซงไป...เรารักษาความสด-สบายเอาไว้ตลอดเวลาให้ได้
เมื่อเตรียมตัว...เตรียมใจได้บริบูรณ์แล้ว...ก็จะพิชิตมาราธอนได้....

ที่เส้นชัย.....
เราจะเห็นแววตาแห่งความชื่นชมจากคนรอบข้าง
เราไม่พูด...รอบข้างก็ไม่พูด...แต่สื่อได้ว่า..."ภาคภูมิใจเหลือเกิน"
ถามว่า...ภาคภูมิใจอะไรกัน ?
ตอบว่า...ภาคภูมิใจที่เตรียมมาดี

----------------------------------------------------------------------------------

บทสรุป คือ..ความสำเร็จนั้นมาจากการเตรียมตัวนั่นเอง
แล้วอย่าลืมคิดถึง  อ.สถาวรผู้สอนให้รู้จักเตรียมการวิ่งด้วย..
ขอขอบคุณ อ.สถาวร..ที่ไม่เคยเบื่อที่จะบอกสิ่งดีๆแก่นักวิ่งผู้เป็นสาวก
เดินตามอาจารย์......มีแต่ความสำเร็จคะ
///////////////////////////////////////



การเตรียมตัวและเทคนิค่ต่างๆของการวิ่งมาราธอน ของครูดิน 


หากชอบ และถูกใจ กดแชร์ แบ่งปันกันไปนะคะ ^^