29 มีนาคม 2563
กรมอนามัย แนะอยู่บ้าน 14 วัน เก็บอาหารสดในตู้เย็น ยึดหลัก 3 ส.
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ที่กักตัวอยู่ที่บ้าน 14 วัน เก็บอาหารสดในตู้เย็นให้ยึดหลัก 3 ส. ได้แก่ สะอาดปลอดภัย สัดส่วน สิ่งแวดล้อมเหมาะสม
เพื่อรักษาคุณภาพและยืดอายุอาหารให้เก็บไว้ได้นาน ส่วนอาหารกระป๋อง ก่อนเลือกซื้อควรอ่านฉลากข้างกระป๋องให้ละเอียด ก่อนกินต้องอุ่นให้เดือดทุกครั้ง
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ช่วงที่สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ระบาด ประชาชนที่เป็นผู้กักตัวเองอยู่ที่บ้าน 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังอาการ นอกจากจะไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับ ผู้อื่นแล้ว ต้องเลือกซื้ออาหารและปรุงประกอบอาหารที่สะอาดและปลอดภัย โดยการซื้ออาหารสด ประเภทเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก และผลไม้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ เครื่องดื่มชนิดต่างๆ มาเก็บไว้ในปริมาณพอเหมาะ เพื่อช่วยรักษาอาหารให้สดใหม่ ไม่เน่าเสีย อีกทั้งยังคงคุณค่าวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ขอให้ยึดหลัก 3 ส. ดังนี้
1) สะอาดปลอดภัย โดยภาชนะบรรจุ และสถานที่เก็บอาหารต้องสะอาด ปลอดภัยไม่ทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อโรคในอาหารได้
2) สัดส่วน ควรแยกประเภทอาหารเป็นสัดส่วนเฉพาะไม่ปะปนกัน
3) สิ่งแวดล้อมเหมาะสม จัดเก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสมกับอาหารแต่ละประเภท เพื่อรักษาคุณภาพและยืดอายุอาหารให้เก็บไว้ได้นานๆ "โดยเฉพาะอาหารสดประเภทเนื้อสัตว์ หากจะเก็บควรล้างให้สะอาดก่อนแล้วนำมาตัดแบ่งหรือหั่นเป็นชิ้นก่อนบรรจุในภาชนะที่ป้องกันการรั่วซึมได้ในปริมาณที่พอเหมาะกับการนำไปใช้ในแต่ละครั้ง แล้วจึงนำไปเก็บในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส แยกเป็นสัดส่วนจากอาหารประเภทอื่น ไม่ควรแช่เนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ๆ หรือทั้งตัวในตู้เย็น เนื่องจากความเย็นอาจจะไม่เพียงพอ ถ้าเป็นชิ้นเล็ก ขนาดเล็ก หรือชนิดบด ควรใส่ถุงพลาสติกแช่อยู่ในช่องแช่แข็ง นอกจากนี้ ควรหมั่นสำรวจวันหมดอายุของอาหารที่เก็บไว้ในตู้เย็น และไม่ควรเก็บอาหารไว้มากเกินไป จนทำให้การถ่ายเทอากาศ ในตู้เย็นเป็นไปอย่างลำบาก" แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าว อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับอาหารปรุงสำเร็จบรรจุกระป๋อง ผลไม้และน้ำผลไม้กระป๋อง รวมทั้งเครื่องดื่มต่างๆ ที่สามารถเก็บไว้ได้นาน ก่อนเลือกซื้อควรอ่านฉลากข้างกระป๋องให้ละเอียดโดยต้องมี เลขสารระบบอาหารในเครื่องหมาย อย. (เลข 13 หลัก) สถานที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิตวันเดือนปีที่หมดอายุ ลักษณะของกระป๋องต้องไม่บวม ไม่บุบบู้บี้ ไม่เป็นสนิม ตะเข็บกระป๋องต้องไม่มีรอยรั่วหรือเป็นสนิม นอกจากนี้ ก่อนกินอาหารทุกครั้ง ต้องอุ่นด้วยความร้อนให้เดือด และสามารถเพิ่มผักในอาหารกระป๋อง เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ต้มยำปลากระป๋องน้ำพริกหนุ่มทูน่ากระป๋อง เป็นต้น ทั้งนี้ ห้ามอุ่นอาหารทั้งกระป๋องโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะเกิดอันตรายจากสารเคลือบหรือสารโลหะที่จะละลายปนมาในอาหารได้ ส่วนอาหารกระป๋องที่เปิดแล้วหากกินไม่หมด ต้องถ่ายใส่ภาชนะอื่นที่สะอาด มีฝาปิดมิดชิด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคและควรเก็บในตู้เย็น
ที่มา
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
27 มีนาคม 2563
สาธารณสุขประกาศเตือน!! คนที่ชอบใส่แหวน นาฬิกา เสี่ยงติดโควิด-19
เพื่อเตือนเรื่องการสวมแหวนและ นาฬิกา แนะให้ทำความสะอาดเช็ดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคเป็นประจำ และระวังการ จับต้องสิ่งของ หรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพ และระมัดระวังกันด้วยนะคะ
26 มีนาคม 2563
วิธีดูแลสุขภาพจิตใจ ในช่วงโควิด-19 ระบาด
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต้องยอมรับว่า ในช่วงนี้หลายคนวิตกกังวล เครียด และหวาดกลัวกันอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจของบางคนเลยก็ว่าได้ แล้วเราจะมีวิธีการเตรียมพร้อมรับมือและดูแลสุขภาพจิตในช่วงนี้อย่างไรดี?
ภาพประกอบ : pixabay |
6 วิธีคลายเครียดและดูแลสุขภาพจิตใจในช่วงโควิด-19 ระบาด ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
1. ลดการเสพข่าวที่สร้างความวิตกกังวลและบั่นทอนจิตใจต่าง ๆ
2. ระวังเว็บไซต์ข่าวปลอม โดยหากต้องการติดตามข่าวสารการระบาดของ COVID-19 ให้ติดตามจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น เช่น เว็บไซต์ WHO หรือกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สามารถเฝ้าระวังและรับมือได้อย่างเหมาะสม
3. พูดคุยกับคนในครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือคนที่ไว้ใจ เพราะช่วยให้คลายความรู้สึกกังวลหรือเครียดได้เป็นอย่างดี
4. พยายามรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำเยอะ ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
5. ไม่ใช้บุหรี่ สุราหรือยาเสพติดอื่น ๆ เพื่อจัดการกับความเครียด
6. หากคุณรู้สึกเครียดหรือรู้สึกวิตกกังวลจนหาทางออกไม่ได้ แนะนำให้ปรึกษานักจิตวิทยาหรือพบจิตแพทย์จะดีที่สุด
2. ระวังเว็บไซต์ข่าวปลอม โดยหากต้องการติดตามข่าวสารการระบาดของ COVID-19 ให้ติดตามจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น เช่น เว็บไซต์ WHO หรือกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สามารถเฝ้าระวังและรับมือได้อย่างเหมาะสม
3. พูดคุยกับคนในครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือคนที่ไว้ใจ เพราะช่วยให้คลายความรู้สึกกังวลหรือเครียดได้เป็นอย่างดี
4. พยายามรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำเยอะ ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
5. ไม่ใช้บุหรี่ สุราหรือยาเสพติดอื่น ๆ เพื่อจัดการกับความเครียด
6. หากคุณรู้สึกเครียดหรือรู้สึกวิตกกังวลจนหาทางออกไม่ได้ แนะนำให้ปรึกษานักจิตวิทยาหรือพบจิตแพทย์จะดีที่สุด
ทั้งนี้กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำ 5 คาถา “อย่ากลัว” COVID-19
1. อย่ากลัวไวรัส จนเชื่อข่าวปลอมข่าวลือ หรือเพิ่มความหวาดวิตกให้สังคม
2. อย่ากลัวคนอื่น จนไม่กล้าเข้าใกล้ใคร หรือทำร้ายคนอื่นทางกายและจิตใจ
3. อย่ากลัวความลำบาก จนไม่ใส่หน้ากากอนามัย ไม่ล้างมือ ไม่ดูแลตัวเอง
4. อย่ากลัวการรักษา จนปกปิดประวัติตัวเอง หรือไม่ยอมไปตรวจเมื่อมีอาการ
5. อย่ากลัวอดเที่ยว จนสุดท้ายกลายเป็นเสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย
2. อย่ากลัวคนอื่น จนไม่กล้าเข้าใกล้ใคร หรือทำร้ายคนอื่นทางกายและจิตใจ
3. อย่ากลัวความลำบาก จนไม่ใส่หน้ากากอนามัย ไม่ล้างมือ ไม่ดูแลตัวเอง
4. อย่ากลัวการรักษา จนปกปิดประวัติตัวเอง หรือไม่ยอมไปตรวจเมื่อมีอาการ
5. อย่ากลัวอดเที่ยว จนสุดท้ายกลายเป็นเสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย
ข้อมูลอ้างอิง : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข, เพจกองปราบปราม
25 มีนาคม 2563
สรุปสาระสำคัญของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 1
สรุปสาระสำคัญของ
พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 1
พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 1
—————
ข้อมูลเบื้องต้น
.
ชื่อเต็ม:
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1)
ข้อมูลเบื้องต้น
.
ชื่อเต็ม:
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1)
ระยะเวลาบังคับใช้:
26 มีนาคม - 30 เมษายน 2563
26 มีนาคม - 30 เมษายน 2563
—————
สาระสำคัญ
.
1. ห้ามประชาชนไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
สาระสำคัญ
.
1. ห้ามประชาชนไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
2. ให้ทุกจังหวัดปิดสถานที่เสี่ยง ต่อไปนี้ สนามมวย สนามม้า สนามกีฬา สนามเด็กเล่น ผับ อาบอบนวด นวดแผนโบราณ สปา ฟิตเนส สถานบันเทิง สถานที่แสดงมหรสพต่าง ๆ
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด ศาสนสถาน สถานีขนส่ง ตลาด ห้างสรรพสินค้า ให้แต่ละจังหวัดพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสม
3. ห้ามคนต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางบก ยกเว้นคณะทูต ผู้ขนส่งสินค้าจำเป็น นักบิน ลูกเรือ (แต่ต้องมีใบรับรองแพทย์ประกอบ)
4. ห้ามกักตุนสินค้า เช่น ยา เวชภัณฑ์ อาหาร น้ำดื่ม และสินค้าอื่นที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน
5. ห้ามชุมนุมและมั่วสุม
6. ห้ามแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 ที่เป็นเฟกนิวส์และทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ถ้าพบ เจ้าหน้าที่จะเตือนให้แก้ข่าวหรือดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
7. ให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ เตรียมโรงพยาบาลสนาม เตียง ยา เวชภัณฑ์ และขึ้นทะเบียนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกษียณไปแล้ว
8. บุคคล 3 ประเภทต่อไปนี้ให้อยู่ในบ้าน (ยกเว้นออกไปทำธุระจำเป็น เช่น พบหมอ ขึ้นศาล) ได้แก่
.
- ผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป
- ผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป
- คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันสูง โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
- เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
9. ส่วนคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศสามารถกลับประเทศได้ แต่ต้องมีใบรับรองแพทย์ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทางทางอากาศ หรือติดต่อขอหนังสือรับรองจากสถานทูตไทยในประเทศนั้น ๆ
10. ให้กรุงเทพฯ และแต่ละจังหวัดจัดตั้งจุดตรวจตามถนนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ การก่ออาชญากรรม และการมั่วสุม
11. ปฏิบัติตามมาตราการป้องกันโรค ที่ทางราชการกำหนด
.
- ให้ทำความสะอาด ก่อนและทำ สถานที่ที่ทำงานและ กำกัดขยะมูลฝอยทุกวัน
- สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ทุกครั้งที่ปฏิบัติงาน
- ล้างมือด้วย สบู่ แอลกอฮอล์ เจล หรือยาฆ่าเชื้อโรค
- เว้นระยะห่างกัน อย่างน้อย 1 เมตร
- ห้ามชุมนุม หรืออยู่ที่แออัด
.
เจ้าหน้าที่ อาจจะติดตั้งแอปพลิเคชันติดตามตัวในมือถือได้ ในบางกรณี
12. สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานรัฐยังเปิดตามปกติ ยกเว้นสถานศึกษาที่ประกาศปิดไปก่อนหน้านี้แล้ว
กิจการที่รัฐสนับสนุนให้เปิดเพื่อความสะดวกของประชาชน ได้แก่ โรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา ร้านอาหาร (ต้องซื้อไปทานที่บ้าน) ร้านสะดวกซื้อ โรงงาน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม ตลาดขายอาหารและสินค้าจำเป็น ปั๊มน้ำมัน ธุรกิจเดลิเวอรี-ออนไลน์
.
ส่วนห้างสรรพสินค้าให้เปิดเฉพาะแผนกซูเปอร์มาร์เก็ต แผนกยา และแผนกสินค้าจำเป็น
ส่วนห้างสรรพสินค้าให้เปิดเฉพาะแผนกซูเปอร์มาร์เก็ต แผนกยา และแผนกสินค้าจำเป็น
13. ยังไม่ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด แต่จะจัดตำรวจ-ทหารไปตั้งจุดสกัดรอยต่อระหว่างจังหวัด เพื่อตรวจสอบดังต่อไปนี้
.
- ผู้โดยสารบนรถต้องนั่งห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร
- ผู้โดยสารบนรถต้องนั่งห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร
- ผู้โดยสารทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย มีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือติดตัว
- ยอมให้เจ้าหน้าที่วัดอุณหภูมิร่างกาย ถ้าอุณหูมิสูงจะถูกส่งไปกักกันตัว
- ยอมให้ติดตั้งแอปพลิเคชันติดตามตัวในมือถือ
- พกบัตรประชาชนและกรอกแบบฟอร์มข้อมูลทั่วไป
14. พิธีการทางสังคมต่าง ๆ เช่น งานแต่ง งานศพ งานบุญ ให้จัดได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค
15. ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ข้อ 1 - ข้อ 5 มีความผิด ตามมาตรา แห่งพรก.ฉุกเฉิน
16. การบังคับใช้ ทุกพื้นที่ ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป และจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
—————
สรุป 3 คำถาม
:
1. ปิดประเทศหรือยัง?
.
ตอบ : ยังไม่ปิดประเทศและยังไม่ปิดสนามบิน เพราะต้องรอให้คนไทยกลับเข้าประเทศ แต่คนต่างชาติเข้ามาไม่ได้แล้ว
:
1. ปิดประเทศหรือยัง?
.
ตอบ : ยังไม่ปิดประเทศและยังไม่ปิดสนามบิน เพราะต้องรอให้คนไทยกลับเข้าประเทศ แต่คนต่างชาติเข้ามาไม่ได้แล้ว
2. ปิดเมืองหรือไม่?
.
ตอบ : ยังไม่ปิดเมือง แต่ไม่สนับสนุนให้เดินทางข้ามจังหวัด จึงนำมาตรการที่ยุ่งยากลำบากมาใช้เพื่อลดการเดินทาง
.
ตอบ : ยังไม่ปิดเมือง แต่ไม่สนับสนุนให้เดินทางข้ามจังหวัด จึงนำมาตรการที่ยุ่งยากลำบากมาใช้เพื่อลดการเดินทาง
3. ประกาศเคอร์ฟิวหรือยัง?
.
ตอบ : ยัง เคอร์ฟิวกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เคอร์ฟิวคือการห้ามออกจากที่พักในเวลาที่กำหนด ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ห้าม
.
ตอบ : ยัง เคอร์ฟิวกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เคอร์ฟิวคือการห้ามออกจากที่พักในเวลาที่กำหนด ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ห้าม
3 วิธีเอาชนะ Covid-19 ที่เป็นไปได้มากที่สุด ???
สำหรับ 3 วิธีที่นักวิทยาศาสตร์คิดว่า เราจะสามารถเอาชนะเชื้อไวรัส Covid-19 ได้ เเละเป็น 3 วิธีที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด
วิธีที่ 1 คือ การคิดค้นวัคซีกป้องกันเชื้อไวรัส วิธีนี้ทั้งโลกเองก็กำลังร่วมมือกันคิดค้นอยู่ การรับวัคซีนป้องกันไวรัสเเล้วก็จะเป็นการป้องกันการติดเชื้อได้เเต่วิธีนี้มีการคาดการไว้ว่า
การคิดค้นวัคซีนนั้นจะต้องใช้เวลานานพอสมควร หรืออาจจะมากถึงปี 2021 ปัจจุบันก็มีการทดลองวัคซีนกับมนุษย์คนเเรกเเล้ว
วิธีที่ 2 คือ การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หรือการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายหลังหายจากการติดเชื้อเเล้วหายดีเเล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานตลอดชีวิตทำให้ไม่ติดเชื้อนั้นอีกต่อไป
หากทุกคนติดเชื้อเเล้วหายเอง มีภูมิคุ้มกันเเล้วเชื้อก็จะไม่สามารถเเพร่ได้อีกต่อไป เเต่วิธีนี้มีความเสี่ยงมากหากมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก การรักษา ระบบสาธารสุขอาจจะไม่เพียงพอ ผู้เสียชีวิตก็จำนวนมากได้
วิธีที่ 3 คือ การจำกัดจำนวนผู้ติดเชื้อ วิธีนี้เป็นวิธีที่ทั่วโลกกำลังใช้อยู่ คือการจำกัดจำนวนผู้ติดเชื้อ ไม่ให้เชื้อเเพร่ไปมากเกินกว่าการควบคุมได้ ควบคู่กับการรักษา
การชะลอการติดเชื้อให้มีผู้ติดเชื้อในจำนวนที่ควบคุมได้ เพื่อรอวันที่สามารถคิดค้นวัคซีนได้สำรวจ สำหรับผู้ที่หายดีเเล้วก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เอง
.
3 วิธีนี้เป็น 3 วิธีที่เป็นทางที่จะเอาชนะเชื้อไวรัส Covid-19 ได้ เหมือนในอดีตที่มนุษย์สามารถเอาชนะโรคร้ายต่างๆมาได้ เเละครั้งนี้เราก็จะเอาชนะโรคร้ายได้เหมือนครั้งในอดีต
.
.
ที่มา
BBC ของอเมริกาที่มีข่าวออกมา
การประกาศ เคอร์ฟิว หรือ การห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน คืออะไร ?
เคอร์ฟิว หรือ การห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน
การห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน หรือ เคอร์ฟิว หมายถึง คำสั่งของรัฐบาลให้ประชาชนกลับเคหสถานก่อนเวลาที่กำหนด อีกนัยหนึ่งคือการห้ามประชาชนออกจากเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด (มักเป็นเวลากลางคืน) ซึ่งเป็นการกำหนดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือให้ความสะดวกต่อการปราบปรามกลุ่มเป้าหมาย โดยคำว่า คำว่า "เคอร์ฟิว" (curfew) ในภาษาอังกฤษ มาจากคำในภาษาฝรั่งเศสว่า couvre feu แปลว่า ดับไฟ (couvre = ดับ, feu = ไฟ)
โดยการประกาศ เคอร์ฟิว นั้นเรียกว่าเป็น สถานการณ์ฉุกเฉิน (state of emergency) คือ สถานการณ์อันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยแห่งรัฐ หรืออันอาจทำให้รัฐตกอยู่ในภาวะคับขันหรือภาวะการรบหรือการสงคราม ซึ่งฝ่ายบริหารรัฐมีอำนาจประกาศว่าพื้นที่ใดกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นว่าโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายของรัฐนั้นๆ ซึ่งให้อำนาจพิเศษในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน และมักเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล อย่างไรก็ดี กฎหมายว่าด้วยสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ไม่เบ็ดเสร็จเท่ากฎอัยการศึกหรือกฎหมายที่ใช้ในสภาวะสงคราม
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมักมีภายหลังจากการเกิดภัยธรรมชาติ การก่อความไม่สงบ หรือการประกาศสงคราม ซึ่งอาจมีผลให้เจ้าหน้าที่บางฝ่ายต้องหยุดการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ลงชั่วคราว โดยอำนาจหน้าที่เช่นว่านั้นอาจรวมศูนย์ไปยังเจ้าหน้าที่อีกฝ่ายเพื่ออำนวยความสะดวกในการควบคุมสถานการณ์โดยไม่ชักช้า และอาจนำไปสู่การห้ามออกจากเคหสถาน (อังกฤษ: curfew) หรือการห้ามมั่วสุมชุมนุมกันเพื่อการใด ๆ ก็ดี ณ พื้นที่นั้นในระหว่างที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
การประกาศและการยกเลิกประกาศ
การประกาศว่าท้องที่ใดกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และสมควรใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เข้าร่วมกันเยียวยาสถานการณ์นั้น เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี โดยจะประกาศทั้งราชอาณาจักรหรือบางท้องที่ก็ได้ และประกาศนี้มีอายุใช้บังคับสามเดือนนับแต่วันประกาศ แต่นายกรัฐมนตรีอาจขยายอายุดังกล่าวได้คราวละไม่เกินสามเดือนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ม.5 พ.ร.ก. ฉุกเฉิน)
ในบางสถานการณ์ หากไม่อาจขอความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที นายกรัฐมนตรีก็มีอำนาจประกาศไปก่อน ค่อยขอความเห็นชอบทีหลังภายในสามวันนับแต่วันประกาศ หากคณะรัฐมนตรีไม่ให้ความเห็นชอบ ประกาศเช่นว่าจะเป็นอันสิ้นสุดลง (ม.5 ว.1 พ.ร.ก. ฉุกเฉิน)
เมื่อสถานการณ์ฉุกเฉินสิ้นสุดลงแล้วก็ดี เมื่อคณะรัฐมนตรีไม่ให้ความเห็นชอบก็ดี หรือเมื่ออายุของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฉบับหนึ่ง ๆ สิ้นสุดลงก็ดี นายกรัฐมนตรีจะมีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น (ม.5 ว.3 พ.ร.ก. ฉุกเฉิน)
ทั้งนี้ ในกฎหมายเดิมกำหนดให้การประกาศและยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยร่วมกัน (ม.21 พ.ร.บ. ฉุกเฉิน)
24 มีนาคม 2563
ไทยติดเชื้อโควิดพุ่งก้าวกระโดด แพร่ระบาด 47 จังหวัด หวั่น คุมไม่อยู่ !!
ข้อมูลตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ล่าสุดในต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้ได้แพร่ระบาดไปยังพื้นที่ 47 จังหวัด โดยพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่มาจากสนามมวยเกือบทั้งส้ิน และมีแนวโน้มที่จะเจอผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากไปสัมผัสเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่หลายคนยังไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่ได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมต่างๆ โดยไม่กักตัวเองแต่อย่างใด
22 มีนาคม 2563
ลิเดีย แชร์ข้อมูลอาการป่วย และขอความร่วมมือจากทุกคนให้อยู่บ้าน : Social Distancing
ได้รับการตรวจสอบแล้ว
ลิเดีย แชร์ข้อมูลอาการป่วย และขอความร่วมมือจากทุกคนให้อยู่บ้าน : Social Distancing
แชร์ข้อมูลค่ะ:
หลังจากที่ต้องแยกกันมาอาทิตย์กว่า ตอนนี้เดียกับพี่แมทได้อยู่ด้วยกันแล้วค่ะ มีกำลังใจดีขึ้นเยอะค่ะ
อาการช่วงแรกของเดียที่เข้าโรงพยาบาลคือไม่เป็นอะไรเลยที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นหวัด ไม่เจ็บคอแล้ว ไม่มีน้ำมูกเลย ไม่ไอ แต่มีไข้ 37กว่า ก็เลยทำให้คิดว่ากำลังจะหาย จากการ Xray วันแรกก็ไม่เห็นอะไรในปอด สัญญาณทุกอย่างดีหมด แต่คุณหมอท่านสั่งทำ CT scan วันรุ่งขึ้น ผลออกมาคือไวรัสเข้าไปในปอดแล้ว แต่ไม่แสดงอาการเลย เดียไม่หอบ ไม่เหนื่อย ระดับออกซิเจนดีหมด แต่ปอดเริ่มอักเสบ
เดียถูกย้ายไปไอซียูเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดและเริ่มทานยาทันที เดียรู้สึกแข็งแรงดีทุกอย่าง หายใจได้ ไม่มีอาการหวัด แต่มีผลข้างเคียงจากยาที่ทานเพราะค่อนข้างแรงและเยอะ อาการจากยาก็จะมีเวียนหัว คลื่นไส้ ท้องเสีย ไม่อยากอาหาร และตามัวเหมือนสายตาสั้น ก็ต้องพยายามทานข้าวให้ได้เพื่อจะได้ทานยา
หลังจากเริ่มยาและอยู่ไอซียูมา 5 วัน เดียไม่มีไข้แล้ว สัญญานทุกอย่างดี Xray ปอดดูไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็ได้ย้ายออกจากไอซียู ตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันกับพี่แมทแล้วค่ะ
อาการของพี่แมทแตกต่างจากเดีย พี่แมทไปถึงโรงพยาบาลวันแรกๆมีไข้และคัดจมูกและมึนๆหัวนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีไข้ไปอีก3วัน ตอนนั้นไม่ได้ทานยา ก็คิดว่าเริ่มดีขึ้น แล้วปล่อยให้หายเองได้ แต่หลังจากนั้นไข้กลับมาใหม่และท้องเสียหมอรีบ Xray ก็พบว่าเริ่มมีอาการปอดอักเสบเหมือนเดีย พี่แมทจึงเข้า ICU และเริ่มยาทันที หลังจากกินยา ตอนนี้ทั้งคู่ไม่มีไข้แล้ว และออกจากไอซียูแล้ว
ตอนนี้คุณหมอและพยาบาลทำงานกันหนักโดยที่ไม่ได้กลับบ้านกันเลย ขอความร่วมมือจากทุกคนให้อยู่บ้าน อย่าออกไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มข้างนอก ถ้าจำเป็นต้องออกก็ขอให้ใช้ความระมัดระวัง พยายามหลีกเลี่ยงที่ๆคนเยอะๆ ช่วยกันนะคะ เราจะได้ผ่านมันไปได้ค่ะ
.
ที่มา :
lydiasarunrat
21 มีนาคม 2563
8 คำแนะนำเรื่องไวรัสโควิด-19 จาก "หมอก้อง สรวิชญ์" หมอทหารและนักแสดง
คุณหมอก้องพูดดีนะ มาอ่านกันค่ะ 👍
#วงการแพทย์หลายคนยังพูดไม่ตรงกัน!!
#เรียกสติกันหน่อย !!! กลัวจะเป็นบ้าก่อนเป็น #โควิด-19
8 คำแนะนำเรื่องไวรัสโควิด-19
จาก "หมอก้อง สรวิชญ์" หมอทหารและนักแสดง
1. เชื้อไวรัสมันเก่ง แต่คนเราก็เก่งในการปรับตัวแข่งกับมันเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำให้เม็ดเลือดขาวของเราเก่งกว่าไวรัสให้ได้ ดูแลตัวเองให้ดี #ทำตัวเองให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย #อะไรที่เสริมได้ตอนนี้ให้เสริมไปเลย เช่น #วิตามินต่าง ๆ
2. อย่าวิตกกังวลมากเกินไป ผมพูดกับคนไข้ทุกคนว่า สมมุติเราซวยเกิดเป็นขึ้นมาจริง ๆ เป็นแล้วยังไง เป็นแล้วก็เป็นสิ เป็นก็รักษาเท่านั้นเอง เพราะโรคนี้มันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น #อัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่ #แต่ที่โรคนี้ดูน่ากลัวเพราะมันติดง่าย
3. กลัวได้ แต่ให้กลัว แบบระวังป้องกัน ตอนนี้หลายคนยังไม่ได้เป็นโควิด-19 เลย แต่จะเป็นบ้าแล้ว และเราจะหมดความเป็นคนแล้วเพราะเราบูลลี่กัน ถ้าเราใช้คำว่ามนุษย์เราต้องไม่บูลลี่กัน คนที่เอาแต่ด่าคนอื่น ผมว่ามันไม่ใช่คน
4. ตอนนี้ทุกคนได้รับผลกระทบกันหมด ยิ่งอาชีพผมยิ่งมีผลกระทบมากกว่าคนอื่น และมีโอกาสเจอเชื้อโรคเยอะกว่า เพราะผมตรวจคนไข้อยู่บ้านไม่ได้ ถามว่ากลัวไหม ไม่กลัวครับ มีใครไม่ตายบ้าง ถ้าเกิดจะตายเพราะติดโควิด-19 อย่างน้อยเราก็ป้องกันให้ดีที่สุดก่อนตายก็แล้วกัน
5. การกลัวไม่แปลกเพราะมันก็น่ากลัว แต่ถ้าถึงขั้นวิตก ไม่เป็นอันกินอันนอน นั่นคือคุณยังไม่ทันติดโควิด-19 เลย แต่คุณเป็นโรคอื่นแล้ว เชื้อโรคไม่ได้ทำอะไรคุณเลย แต่คุณทำตัวเอง #ให้เอาความกังวลมาทำสิ่งที่น่าทำมากกว่าการมานั่งกลัว นั่นคือการดูแลตัวเองและไม่ประมาท
6. การป้องกันโควิด-19 #ใช้แค่แมสก์ผ้าก็พอ ไม่จำเป็นต้องแมสก์เขียวแมสก์ฟ้า เพราะมันติดจากสารคัดหลั่ง จากเชื้อที่อยู่ในน้ำลาย ซึ่งแมสก์ผ้าก็กันได้ แล้วก็ซักเอา
7. ที่สำคัญคือการ #ล้างมือให้สะอาด กินอาหารสุก กินของร้อน ควรฝึกให้เป็นพฤติกรรม #เดินไปไหนอย่าจับโน่นจับนี่ บางคนเดินไปรูดราวบันไดไป
8. เจลล้างมือต้องพกไว้และเลือกที่มีแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไป การล้างมือนั้นสำคัญกว่าการใส่แมสก์ เพราะมือเราหยิบจับอะไรเยอะแยะในแต่ละวัน
#Covid-19
เครดิต... หมอก้อง 🌺🌺🌺
รู้จัก "ฟาวิพิราเวียร์" ตัวยาต้าน 'โควิด-19'
พาไปทำความรู้จักกับ "ฟาวิพิราเวียร์" ตัวยาที่มีการค้นพบว่า สามารถต้าน "โควิด-19" ได้ดี และเริ่มมีการใช้ในหลายประเทศที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ โควิด-19 ระบาดขณะนี้
บุคลากรทางการแพทย์ในทุกประเทศที่กำลังเผชิญกับ "โควิด-19" กำลังพยายามควบคุมสถานการณ์ และคิดค้นแนวทางในการรักษาโรคนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด หนึ่งในนั้นคือ "ฟาวิพิราเวียร์" ตัวยาที่มีการค้นพบว่าสามารถต้าน "โควิด-19" ได้ในระดับที่น่าพอใจ
โดยรองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิง นงลักษณ์ สุขวาณิชย์ศิลป์ หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยข้อมูลของการศึกษาค้นคว้า 'ฟาวิพิราเวียร์' ในช่วงที่ผ่านมาว่า
ในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 มีกลุ่มนักวิจัยชาวจีนได้ตรวจหาฤทธิ์ยา และ สารอื่นๆ กว่า 70,000 ชนิด โดยใช้เทคโนโลยีจำลองสถานการณ์บนคอมพิวเตอร์ (computer simulation) และการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ในหลอดทดลอง เพื่อหาศักยภาพของยาหรือสารอื่นเหล่านั้นในการนำมาใช้รักษาโรคปอดอักเสบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้พบยาที่น่าสนใจบางชนิด เช่น
“ฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir)” “คลอโรควินฟอสเฟต (chloroquine phosphate)” และ “เรมเดซิเวียร์ (remdesivir)”
“ฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir)” “คลอโรควินฟอสเฟต (chloroquine phosphate)” และ “เรมเดซิเวียร์ (remdesivir)”
- ข้อมูลทั่วไปของยา “ฟาวิพิราเวียร์”
ฟาวิพิราเวียร์ มีหลายชื่อเรียกอาทิ T-705 ส่วนชื่อการค้าคือ Avigan และ Favilavir มีลักษณะโครงสร้างเป็นอนุพันธ์ไพราซีนคาร์บอกซาไมด์ (pyrazinecarboxamide derivative) ค้นพบโดยบริษัทโตยามะเคมิคอล (Toyama Chemical Co., Ltd) ในประเทศญี่ปุ่น
ยานี้ได้รับอนุมัติให้ใช้ในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 เพื่อใช้รักษาโรคไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผล มีการใช้ยานี้ในช่วงที่มีการระบาดอย่างหนักของไวรัสอีโบลา (Ebola virus) ในแถบแอฟริกาตะวันตกช่วงปี พ.ศ. 2557 - 2559
จากข้อมูลในอดีตมีผู้ใช้ยานี้ไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครสุขภาพดี ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่และผู้ป่วยโรคอีโบลา มีจำนวนไม่น้อยกว่า 2,000 คน พบว่ายามีความปลอดภัย ข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้ยานี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับยาต้านโคโรน่าไวรัสชนิดอื่นคือปัญหาเรื่องไวรัสดื้อยา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมายาฟาวิพิราเวียร์ได้รับอนุมัติในประเทศจีนให้ใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ในผู้ใหญ่ และอนุญาตให้นำมาใช้ในการศึกษาทางคลินิกกับผู้ป่วยโควิด-19 ได้ ขณะนี้ในประเทศเกาหลีใต้อยู่ระหว่างการพิจารณาขออนุมัติทะเบียนยาแบบเร่งด่วน (fast-track approval) เพื่อใช้รักษาโควิด-19 ด้วยเช่นกัน
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ “ฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir)” ได้รับความสนใจมากกว่ายาชนิดอื่นๆ เนื่องจาก ข้อมูลเบื้องต้นที่พบว่ายาฟาวิพิราเวียร์มีประสิทธิภาพดีต่ออาร์เอ็นเอไวรัสหลายชนิด ช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus), ไวรัสโรคปากและเท้าเปื่อย (foot-and-mouth disease virus), ไวรัสไข้เหลือง (yellow fever virus) อีกทั้งได้ทดลองใช้รักษาโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรน่า โรคโควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่นประเทศจีนและที่ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว
เภสัชวิทยาของยา "ฟาวิพิราเวียร์"
ทั้งนี้ ในมิติทางเภสัชวิทยาของยาฟาวิพิราเวียร์ พบว่าการที่ยานี้จะมีฤทธิ์ต้านไวรัสได้ต้องถูกเปลี่ยนแปลงในร่างกายโดยเอนไซม์ภายในเซลล์ได้เป็นฟาวิพิราเวียร์ไรโบซิลไตรฟอสเฟต (favipiravir ribosyl triphosphate) ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรส (RNA-dependent RNA polymerase หรือ RNA replicase) ซึ่งเอนไซม์ดังกล่าวมีความสำคัญในการเพิ่มจำนวนไวรัส ดังนั้นเมื่อเอนไซม์ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ จึงยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัส
นอกจากนี้สารดังกล่าวยังทำให้เกิดการสร้างสารพันธุกรรมอาร์เอนเอของไวรัสที่ผิดปกติและทำให้ไวรัสตาย ยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ยับยั้งการสร้างอาร์เอ็นเอและดีเอ็นเอในเซลล์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จึงไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ของคนและสัตว์
ยานี้ถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารได้ดีเกือบสมบูรณ์ เกิดระดับยาสูงสุดภายใน 1 ชั่วโมง (ช่วงตั้งแต่ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง) ยาถูกเปลี่ยนสภาพที่ตับโดยอาศัยเอนไซม์แอลดีไฮด์ออกซิเดส (aldehyde oxidase) เป็นส่วนใหญ่ อาศัยเอนไซม์แซนทีนออกซิเดส (xanthine oxidase) เพียงเล็กน้อย
เกิดเป็นสารที่ไม่มีฤทธิ์และถูกขับออกทางปัสสาวะ ยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อัลดีไฮด์ออกซิเดสได้ด้วยจึงยับยั้งการเปลี่ยนสภาพของตัวยาเอง ด้วยเหตุนี้ค่าทางเภสัชจลนศาสตร์ (กระบวนการที่ร่างกายจัดการกับยา ตั้งแต่การนำยาเข้าสู่ร่างกาย การดูดซึม การกระจายยาผ่านไปส่วนต่างๆ ของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงยา และการขจัดออกจากร่างกาย) บางอย่างของยาจึงไม่ได้แปรผันเป็นเส้นตรงกับขนาดยาที่ได้รับ การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่ายาผ่านรกและขับออกทางน้ำนมได้ ยามีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อลูกในท้องและอาจทำให้ลูกในท้องพิการได้โดยเฉพาะเมื่อได้รับยาในขนาดสูง
- ฟาวิพิราเวียร์ กับการนำไปใช้จริง
เคสล่าสุดที่เห็นได้ชัดเจนจากการใช้ ฟาวิพิราเวียร์ ต้านโควิด-19 คือรายจาก xinhuathai เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมาว่า เจ้าหน้าที่ทางการจีนเปิดเผยว่าจีนดําเนินการ ทดลองทางคลินิกกับ ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ยาต้านไวรัสก่อโรคไข้หวัดใหญ่ที่แสดงประสิทธิผล ทางการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในระดับดี
โดยผู้ป่วยโรคโควิด-19 จํานวนมากกว่า 80 ราย ที่เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกในโรงพยาบาลประชาชนแห่งที่ 3 ของ เมืองเซินเจิ้น มณฑลกว่างตงทางตอนใต้ โดยมีผู้ป่วยได้รับยา "ฟาวิพิราเวียร์" 35 ราย และผู้ป่วยกลุ่มควบคุม (Control group) อีก 45 ราย
การทดลองดังกล่าวพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์ มีผลการตรวจหาไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ กลายเป็นลบในระยะเวลาอันสั้นกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์
นอกจากนั้นการทดลองทางคลินิกแบบสุ่ม (randomized) ในหลายสถาบัน นําโดยโรงพยาบาลจงหนานของ มหาวิทยาลัยอู่ฮั่น ก็บ่งชี้ว่าการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ด้วยยาฟาวิพิราเวียร์ สัมฤทธิ์ผลดีกว่ามากเช่นเดียวกัน
- การใช้ "ฟาวิพิราเวียร์" ในไทย
ในการนำมามีส่วนช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในไทยด้วย โดย นายแพทย์ ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวไปก่อนหน้านี้ (10 มี.ค.) ว่า “ฟาวิพิราเวียร์” (favipiravir) ขณะนี้ประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 5 หมื่นเม็ด และจะกระจายไปทั่วประเทศ โดยส่วนหนึ่งจะอยู่ที่ สถาบันบำราศนราดูร ส่วนที่สอง คือ โรงพยาบาลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลทรวงอก โรงพยาบาลสังกัด กทม. และ โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ต่างๆ จากนั้นจะ กระจายไปตามโรงพยาบาลใหญ่ในหัวเมืองต่างๆ และต้องส่งต่อไปถึงโรงพยาบาลระดับ ชุมชน
ซึ่งเป็นขั้นตอนการดูแลผู้ป่วยในระดับอาการที่มีการใช้ยา ทั้งนี้ ยากระทรวงสาธารณสุข ยังไม่มีสารตั้งต้น ในการผลิตยารักษา ขั้นตอนอยู่ระหว่างการเตรียมการเจรจาจากประเทศที่มีสารตั้งต้นการผลิต ส่วนจะต้องสำรองยารักษาปริมาณเท่าไหร่นั้น ต้องปรับไปตามสถานการณ์ แต่เป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข คือ ให้มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุด
ซึ่งเป็นขั้นตอนการดูแลผู้ป่วยในระดับอาการที่มีการใช้ยา ทั้งนี้ ยากระทรวงสาธารณสุข ยังไม่มีสารตั้งต้น ในการผลิตยารักษา ขั้นตอนอยู่ระหว่างการเตรียมการเจรจาจากประเทศที่มีสารตั้งต้นการผลิต ส่วนจะต้องสำรองยารักษาปริมาณเท่าไหร่นั้น ต้องปรับไปตามสถานการณ์ แต่เป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข คือ ให้มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุด
การค้นพบและการพยายามพัฒนาสูตรยาในการต้าน “โควิด-19” นับเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยในขณะนี้ อย่างไรก็ดี การไม่อยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะ 2 เมตรในช่วงนี้ กินร้อน ใช้ช้อนส่วนตัว และหมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ ยังเป็นการป้องกันที่ดีที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการระบาดในระยะนี้
.
ที่มา: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล , xinhuathai PPTV
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)