16 พฤษภาคม 2560

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ ต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในชีวิต โดยการวิ่งมาราธอน


    โดย Andrew Johnson ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์สอนธุรกิจที่มหาวิทยาลัยท้องถิ่นแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยนาย Johnson อธิบายว่าเขาสอนวิชาธุรกิจเบื้องต้นโดยมีสาระสำคัญคือการให้นักเรียนที่เข้าเรียนวิชาทุกคนต้องวิ่งมาราธอน (42 กิโลเมตร) ให้ได้ภายในเวลา 7 ชั่วโมง จึงจะถือว่าสอบผ่าน โดยอธิบายว่าการฝึกฝนจนสามารถวิ่งมาราธอนได้สำเร็จนั้น จะเป็นการสั่งสมความรู้และประสบการณ์ การวางแผน การฝึกฝนตนเอง ให้มีสุขภาพแข็งแรง ความอดทน ความเข้มแข็งและความเพียรพยายามที่จะไปสู่จุดหมายที่ชัดเจน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจและการดำเนินชีวิตโดยรวม
   นาย Johnson เล่าว่า  เมื่อให้นักเรียนไปสัมภาษณ์นักธุรกิจ และนำเอาความรู้และประสบการณ์ของนักธุรกิจในโลกจริงมาเล่าให้นักเรียนด้วยกันฟัง นักธุรกิจจะบอกกับนักเรียนว่า ความสำเร็จในโลกภายนอกนั้น ไม่ได้มาจาก ความสามารถด้านเทคนิค (technical skills)  เช่น คิดเลขเก่งหรือทำ excel คล่องแคล่ว แต่ความสำเร็จเกิดจาก character หรือ life skills เช่น ความมุ่งมั่น ความขยันหมั่นเพียร ความพร้อมที่จะทุ่มเทและผูกพันกับงานหรืออาจสรุปได้ด้วยคำว่า grit (ความหนักแน่น) ที่ฝรั่งแปลว่า  “perseverance and passion for long-term goals”  ซึ่งนาย Johnson มองว่าการให้นักเรียนทุกคนต้องฝึกฝนตนเองเพื่อให้วิ่งมาราธอนให้ได้ภายใน 7 ชั่วโมง จึงจะสอบผ่านนั้นเป็นการพัฒนานักเรียนให้มี perseverance and passion for long-term goals อย่างแท้จริง ทั้งนี้เขายกตัวอย่างว่าเวลาเราเรียนเกี่ยวกับธุรกิจนั้น เรามักจะอ่านจากตำรา ฟังสัมมนาหรืออ่านจากประสบการณ์ของคนอื่น (case study)  แต่ก็จะเหมือนกับการอ่านหรือดูวีดิโอเกี่ยวกับการขี่จักรยาน 2 ล้อ หมายความว่า  หากนักเรียนไม่ได้ลองขี่จักรยานด้วยตัวเองก็จะไม่สามารถเรียนรู้และขี่จักรยานได้อย่างแท้จริง
    การสอน grit  หมายถึง  การสอนให้นักเรียนต้องกล้าคิดกล้าทำและต้องแก้ปัญหาร้อยแปดที่จะต้องพบเจอ รวมทั้งเสียงคัดค้านและความเห็นแย้งของคนรอบข้าง ซึ่งการฝึกฝนเพื่อวิ่งมาราธอนนั้นทำให้ต้องเผชิญกับอุปสรรคดังกล่าวทั้งหมดและต้องสามารถฟันฝ่าอุปสรรคดังกล่าวให้ได้ในที่สุด จึงจะประสบความสำเร็จ
      วิชาของนาย Johnson นี้เปิดสอนมาตั้งแต่ปี 2013 โดยตั้งชื่อว่า “Change Through Challenge”  ซึ่งมีนักเรียนตั้งแต่อายุ 19 ปี จนถึงผู้บริหารอายุ 60 ปีมาเข้าเรียน โดยแบ่งเวลาให้ฝึกซ้อมเอง 3 ครั้งต่อสัปดาห์และมาวิ่งรวมกันทั้งชั้น 1 ครั้งต่อสัปดาห์และมาสัมมนาร่วมกันทุกวันจันทร์ โดยจะเป็นการพูดคุยกันเรื่องการกินอาหาร การฝึกฝนและความสำคัญของการมีวินัย (discipline) และเชื่อมโยงประสบการณ์ดังกล่าวกับการทำธุรกิจและการดำเนินชีวิตโดยรวม โดยประเด็น 
       หลักคือการปรึกษาหารือและแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันเพื่อให้นำไปสู่วัตถุประสงค์หลัก คือ การวิ่งมาราธอนให้สำเร็จให้ได้ ทั้งนี้จะต้องวางแผนและตั้งเป้าที่จะเดินไปสู่จุดหมายดังกล่าวอย่างเป็นขั้นตอนโดยแบ่งออกเป็นเป้าหมายย่อยๆ เป็นรายวัน รายสัปดาห์และรายเดือน นาย Johnson กล่าวถึงคำถามติดตลกว่า How do you eat an elephant? One bite at a time….
        เขาบอกว่า บทเรียนที่สำคัญของวิชานี้และเป็นปัจจัยหลักในการนำไปสู่ความสำเร็จในการทำธุรกิจและการดำเนินชีวิตคือ  “It’s not about doing the occasional big things, it’s about doing the consistent small things”    ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างมากจากประสบการณ์ของตัวเอง หลังจากผ่านชีวิตมาแล้ว 60 ปีว่าตอนที่เราเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลและประถมนั้น เรารูปร่างหน้าตาเกือบเหมือนกันหมด ศักยภาพก็ยังใกล้เคียงกันมาก คือทุกคนพูดเป็นแต่ยังอ่านละเขียนไม่เป็น (สมัยที่ผมไปรับลูกสาวที่โรงเรียนประถมต้องยอมรับว่าเมื่อเห็นเด็กนักเรียนวิ่งออกกันมาเป็นร้อยคน ใส่ชุดนักเรียนเหมือนกันนั้น บางที่มองหาลูกสาวตัวเองไม่เห็น เพราะหน้าตาเกือบเหมือนกันหมด) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความแตกต่างจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นว่าใครเรียนดีสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และเข้าเรียนคณะอะไร เรียนต่อปริญญาโท-เอกหรือไม่ ฯลฯ และตอนเริ่มทำงานก็เริ่มต้นคล้ายกันตำแหน่งใกล้เคียงกัน (หลายครั้งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน มากกว่าเป็นคู่แข่งกัน) แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีก 20-30 ปี จะเห็นได้เลยว่าใครก้าวหน้ามากหรือก้าวหน้าน้อยกว่าเพื่อนๆ 
        กล่าวโดยสรุปคือคนที่ค่อยๆ พัฒนาตัวเองทุกวัน วันและนิดหน่อยอย่างสม่ำเสมอนั้น ในที่สุดผลที่ตามมาหลังเวลาผ่านไป 40-50 ปีนั้น จะแตกต่างกันมาก ชีวิตจริงไม่เหมือนกับภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์ที่จบลงภายในเวลา 1-2 ชั่วโมง ซึ่งอาจทำให้นึกว่าชีวิตจริงเป็นเหมือนการแข่งวิ่งเร็ว (sprint) แต่ในความเป็นจริงนั้นชีวิตเหมือนการวิ่งมาราธอนที่ต้องมีความมุ่งมั่น มั่นคง ขยันหมั่นเพียรในการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ (consistent) โดยทำทีละน้อย (small steps)
        นาย Johnson กล่าวถึง การเตรียมตัวเพื่อวิ่งมาราธอนว่า  จะต้องกินให้เหมาะสมทุกมื้อทุกวัน ต้องบังคับตัวเองให้ซ้อมวิ่งอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ (แม้วันนั้นจะหนาวหรือร้อนหรือขี้เกียจ) จะต้องเผชิญและแก้ปัญหา (เช่นหากบาดเจ็บ) วิชาของนาย Johnson นั้นยาวนานทั้งหมด 22 สัปดาห์  แต่นักเรียนเริ่มแข็งแรงและสุขภาพดีขึ้นหลักจากผ่านไปได้ 5 สัปดาห์  แต่ที่สำคัญคือการทำให้นักเรียนต้องตั้งเป้าหมายที่ยากขึ้นให้กับทุกคนทุกสัปดาห์ ทำให้เกิดการสร้างอุปนิสัยที่กล้าทำและทำได้ ซึ่งเป็นอุปนิสัยที่สำคัญในการต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในชีวิตในอนาคตต่อไป

 FaceBook

เคล็ดลับ ลูกความจำดี เรียนเก่ง

ลูกความจำดี เรียนเก่ง : สมอง มีหน้าที่อะไร ?

สมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว  พฤติกรรม และภาวะธำรงดุล (homeostasis) เช่น การเต้นของหัวใจ  ความดันโลหิต  สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังเกี่ยวข้องกับการรู้ (cognition) อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว (motor learning) และความสามารถอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้1
สมองคืออวัยวะที่สำคัญของร่างกายมนุษย์  สมอง เป็นศูนย์รวมของความคิด ความทรงจำ จินตนาการ การวางแผน และการแก้ปัญหาต่างๆ  สมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก หากได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสมและถูกวิธี

       Good to know… “สมองเด็กแรกเกิดจะมีน้ำหนักประมาณ 30-40% ของผู้ใหญ่ และเพิ่ม เป็น 60% เมื่ออายุ 4 ขวบ ช่วง 6 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงที่สมองมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วที่สุด และวัย 1-3 ปี เป็นวัยทองแห่งการเรียนรู้ ความเฉลียวฉลาด และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์2”  

ลูกความจำดี เรียนเก่ง ด้วย 7 เคล็ดลับ

สมองของลูกจะมีพัฒนาการการเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ส่วนสำคัญต้องได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่เป็นสำคัญ เพื่อให้ลูกได้มีการเรียนรู้ มีความจำดี ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนรู้ของลูกในอนาคต  การจะสร้างให้สมองของลูกทำงานประสานกันได้ดี ไม่ใช่เรื่องยาก  เรามีเคล็ดลับฝึกสมองให้กับลูกน้อย จากคำแนะนำของ ดร.แพง ชินพงศ์3  ดังนี้…

1. เขียนสมุดบันทึก


คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ลงในสมุดบันทึกเป็นประจำทุกวัน วิธีนี้นอกจากจะช่วยฝึกทักษะเรื่องของภาษาในการเขียนและการลำดับเรื่องราวอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว ยังช่วยฝึกให้ลูกรู้จักการรวบรวมความคิดและฝึกการจดจำเรื่องราวต่างๆ ที่พบเจอในแต่ละวันที่ผ่านมาได้


2. เล่นเกมพัฒนาความจำ

คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมเกมที่ช่วยฝึกความจำให้แก่ลูก เช่น เกมครอสเวิร์ด เกมปริศนาอักษรไขว้ เกมหาคำศัพท์ เกมบิงโก เกมต่อจิ๊กซอว์ เกมเหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำของสมองเป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยให้มีสมาธิและฝึกความอดทนในการที่จะต้องพยายามแก้ปัญหาให้สำเร็จ

3. ดนตรีช่วยเพิ่มความจำ

ดนตรีเป็นสื่อที่นอกจากจะช่วยคลายเครียด พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ให้แก่เด็กแล้ว ยังช่วยเพิ่มทักษะในด้านความจำของเด็กที่ได้ผลดีเป็นอย่างมากอีกด้วย เพราะการที่เด็กได้ฟังเพลง ร้องเพลงและเล่นเครื่องดนตรี เด็กๆ จะต้องใช้ความจำในเรื่องของการจดจำทำนอง เนื้อร้องและจังหวะของแต่ละบทเพลง นอกจากนี้การเล่นเครื่องดนตรี เด็กๆ ต้องฝึกอ่านโน้ตดนตรี ซึ่งเป็นการฝึกในเรื่องของความจำโดยตรง

4. ฝึกสมาธิ

การฝึกสมาธิเป็นวิธีการที่ดีมากอย่างหนึ่งในการช่วยเพิ่มพลังความจำอย่างได้ผล การทำสมาธิสำหรับเด็กเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องให้เด็กฝึกจิตให้สงบด้วยการนั่งสมาธิเอามือประสานกันวางไว้ที่ตัก เพราะบางครั้งวิธีนี้อาจใช้ไม่ได้สำหรับเด็กบางคนเนื่องจากเขาอาจรู้สึกอึดอัด แต่การทำสมาธิสำหรับเด็กง่ายๆ คือหมายถึงการที่เขาได้พักสงบกับตนเอง เช่น การที่เด็กได้นอนหนุนตักคุณพ่อคุณแม่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบสงบในเวลาประมาณ 15 นาที ก็เป็นการฝึกสมาธิได้แล้ว การฝึกสมาธิจะช่วยผ่อนคลายความเครียดและช่วยเตรียมให้สมองได้เปิดรับการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ และจดจำบทเรียนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
     หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกเป็นเด็กที่มีพัฒนาการการทำงานที่ดี เรียนรู้ได้อย่างชาญฉลาด ปัจจัยสำคัญต้องเกิดจากการถูกกระตุ้น ให้ได้คิด ได้ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ การฝึกให้ลูกเป็นเด็กคิดนอกกรอบ คิดเป็น ทำเป็น และคิดแบบมีจินตนาการ จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้ลูกเป็นที่ประสิทธิภาพทางความคิดได้ค่ะ  เอาเป็นว่าเรามาช่วยกัน กระตุ้น พัฒนาการ สมองลูก ทำงานดี กันตั้งแต่ตอนที่ลูกยังเป็นเด็กเล็กๆ กันดีกว่าค่ะ  

5. รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความจำ

คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้ทานอาหารที่มีคุณค่าและช่วยเพิ่มความจำ เช่น ผัก ผลไม้ ซึ่งมีวิตามินบีสอง กรดโฟลิก ที่ช่วยป้องกันสมองเสื่อม นอกจากนี้ควรให้ลูกทานเนื้อสัตว์ อาหารทะเล เพราะมีธาตุเหล็กที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายในเรื่องของความจำได้

6. การออกกำลังกาย


เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของความจำของเด็กได้เป็นอย่างดี เพราะขณะที่เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ว่าจะเดิน กระโดด วิ่ง จะส่งผลในการกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น ทำให้สมองพร้อมที่จะเปิดรับต่อการจดจำในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้กิจกรรมการออกกำลังตามจังหวะเพลง เช่น แอโรบิคแด๊นซ์ ยังช่วยพัฒนาความจำของเด็กผ่านในการจดจำท่าเต้น ทำนอง และจังหวะของเพลงด้วย

7. นอนหลับพักผ่อน

คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกนอนอย่างน้อยวันละ 7 ชั่วโมง และไม่ควรให้ลูกนอนเกินวันละ 9 ชั่วโมง เพราะการนอนมากทำให้ความตื่นตัวน้อยลงและทำให้ลูกเกิดความซึมเซา ซึ่งมีผลทำให้ประสิทธิภาพของความจำลดน้อยลง นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรให้ลูกนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน เพราะจะทำให้เด็กขาดสมาธิซึ่งทำให้ความสามารถในการจดจำลดน้อยถอยลงไปด้วยเช่นกัน3
  อยากให้ลูกฉลาด เรียนเก่ง ทำยังไงดี?  อย่างแรกเลย คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเรื่องอาหารและโภชนาการของลูกอย่างใกล้ชิดค่ะ “อาหารบำรุงสมอง” สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองลูกน้อย ช่วยให้สมองแจ่มใส ความจำดี และมีสมาธิมากขึ้นได้
           อยากให้ ลูกความจำดี เรียนเก่ง พ่อแม่ต้องหมั่นเติมความรู้ใหม่ๆ  ให้ลูกได้ฝึกการใช้สมองกันมากๆ เพราะสมองยิ่งใช้ยิ่งแข็งแรง และสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ …ด้วยความห่วงใยค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
1สมอง. th.wikipedia.org
2Dr.Somsri Nawarat.วัยทองแห่งการเรียนรู้ ?. gotoknow.org
3ดร.แพง ชินพงศ์. manager.co.th



 FaceBook

14 พฤษภาคม 2560

รู้มั้ย เคล็ดลับกินทุเรียนยังไงให้ไม่อ้วน !!


     เข้าสู่ฤดูกาลช่วงปลายหน้าร้อน ที่ใคร หลายๆ คนต่างรอคอยแล้ว แม้ปีนี้เราอาจจะไม่ได้มีน้ำให้เล่นสงกรานต์กันอย่างฟู่ฟ่าก็อย่าเพิ่งน้อยใจไป เพราะนอกเหนือจากเทศกาลเด็ดอย่างสงกรานต์แล้ว ผลไม้ในช่วงหน้าร้อนนั้นเอง! 
      และนอกเหนือจากเจ้ามะม่วง หรือข้าวเหนียวมะม่วงสุดอร่อยแล้ว   เราจะลืมราชาแห่งผลไม้อย่าง ทุเรียน ไปไม่ได้เลย!  แต่พูดถึงทุเรียน หลายๆ คนอาจจะยี้ ไม่ใชเพราะกลิ่นหรือรสชาติ แต่เพราะหลายคนเชื่อว่ามันชวนให้อ้วนต่างหากละ เอาละ ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะเรามีเคล็ดลับดีๆ ที่ช่วยให้กินทุเรียน แล้วไม่อ้วน  แถมยังดีต่อสุขภาพมาฝากด้วยคะ...

1. เลือกทุเรียนห่าม

รู้หรือไม่ การที่คุณเลือก ทุเรียน ห่ามๆ จะดีต่อร่างกายมากกว่า เพราะมีน้ำตาลน้อย แต่ถ้าเลือกไม่ได้ ก็สามารถกินทุเรียนสุกได้ เนื่องจากงานวิจัยพบว่า ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อ "เคอซิทิน"  ซึ่งเป็นตัวเดียวกับในหอมใหญ่และองุ่น และทั้งนี้พลังต้านอนุมูลอิสระของทุเรียนสุก จะมีมากกว่า มังคุด ลิ้นจี่ ฝรั่ง มะม่วง อีกด้วยนะ!

2. กินไม่เกิน 2 พูต่อสัปดาห์

  ทุเรียนแต่ละลูกจะมี4-5พู แต่ละพูก็จะมี1-3เม็ด และจริงๆ แล้วทุเรียนมีประโยชน์ หากได้ทานในปริมารที่พอเหมาะ และถ้าคุณอยากจะกินเพื่อสุขภาพ ก็ให้กินได้ครั้งละไม่เกิน 2 พูต่อสัปดาห์ และถ้ามื้อไหนกินทุเรียน ก็ให้ลดปริมาณการทานข้าวลง เพื่อสมดุลของสุขภาพร่างกาย รวมทั้งน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตทีได้รับ

3. อดใจ Say No ทุเรียนน้ำกะทิ

ทุเรียนน้ำกระทิ อาจเป็นของโปรดของใครหลายๆ คน  จริงๆ นานๆ ครั้งก็ทานได้  ถ้าทานบ่อยๆ ก็ไม่ขอแนะนำ เพราะอุดมไปด้วยน้ำตาลทั้งจากทุเรียน ข้าวเหนียว และไขมันจากกะทิ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการร้อนในได้ แถมยังช่วยเพิ่มปริมาณน้ำหนักของคุณได้อีกต่างหาก

4. ทานพร้อมผลไม้ฤทธิ์เย็น หรือน้ำเยอะ

หากคุณอยากจะทานทุเรียน ก็ขอให้กินทุเรียนกับผลไม้เนื้อเย็น หรือน้ำเยอะ เช่น มังคุด ลองกอง แตงโม เพราะจะช่วยดับร้อนได้ดี และช่วยปรับสมดุลฤทธิ์ร้อนเย็นในร่างกายได้อีกด้วย

5. ห้ามกินรวมกับแฮลกฮอล์

คอสุราเมรัยทั้งหลาย  ขอเตือนไว้เลยว่า อย่ากินทุเรียนร่วมกับเหล้า แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เพราะจะทำให้ยิ่งร่างกายของคุณร้อนจัด ขาดน้ำ และช็อกได้ เนื่องจากกำมะถันในทุเรียนละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยนะ!

         อยากมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ทำได้ไม่ยาก แค่ใส่ใจสิ่งที่เราจะทานเข้าไปกันสักนิด เพราะการทานอะไรที่มากเกินความพอดี ย่อมนำมาซึ่งสิ่งไม่พึงประสงค์ได้นะจ๊ะ  ขอให้ซัมเมอร์นี้ เอ็นจอยกับทุเรียนกันนะทุกคน!

ที่มา : dailynews

 FaceBook

9 พฤษภาคม 2560

เคล็ดลับง่ายๆ ทางแก้อาการ ” เบื่อตัวเอง “

โอ๊ย! เบื่อตัวเอง จัง…ทำไงดี ซีเคร็ตมี 6 วิธีแก้เบื่อตัวเองมาฝาก

เวลาที่เรารู้สึกเบื่อหน่ายกับผู้คนหรือสิ่งต่างๆ รอบตัว วิธีแก้ไขคงไม่มีอะไรยากเกินไปกว่าเดินหนีออกมาจากสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเหล่านั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มรู้สึก เบื่อตัวเอง แล้วละก็! เห็นทีว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่น่าปวดหัวไม่น้อย เพราะไม่ว่าจะเดินหนีไปทางไหนก็ไปไม่พ้นอยู่ดี
ลองมาสำรวจตัวเองดูก่อนว่า ตอนนี้คุณเริ่มมีอาการเบื่อตัวเองกันบ้างหรือยัง
คุณเข้าข่าย 10 พฤติกรรมเสี่ยงข้อไหนบ้าง!
 คุณมักจะนอนไม่หลับ หรือชอบตื่นกลางดึกแล้วนอนหลับต่อไม่ได้ รับประทานอาหารไม่อร่อย น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว รู้สึกเมื่อยล้าแม้ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างหักโหมหรือทำงานหนักใด ๆ
✓ ทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายงานชิ้นสำคัญ คุณจะเกิดความประหม่า พร้อมกับคิดว่างานนั้นเกินความสามารถของคุณเสมอ หรือคิดว่า ผลสัมฤทธิ์ของงานชิ้นนั้นต้องออกมาอ่อนด้อย
✓ คุณไม่รู้สึกภาคภูมิใจในงานของตัวเอง และนึกอิจฉาคนอื่นที่ได้ทำงานที่ดีกว่า
✓ คุณรู้สึกว่าไม่ว่าจะพยายามอย่างไร คนรอบข้างก็ไม่ให้การยอมรับในผลงานหรือการกระทำของคุณ
✓ เมื่อต้องเข้าสังคม คุณรู้สึกขาดความมั่นใจ แปลกแยกและไม่กล้าพูดคุยกับใคร
✓ คุณรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้จะพูดคุยกับใคร ทั้งที่ความจริงแล้วคุณมีเพื่อนฝูงมากมาย
✓ คุณคิดเสมอว่า ตัวเองไม่ใช่คนเพอร์เฟ็กต์ และความไม่เพอร์เฟ็กต์นี้เป็นจุดอ่อนในตัวคุณ
✓ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน คุณก็พบเจอแต่สิ่งซ้ำซาก จำเจน่าหดหู่ ทั้งชีวิต ความรัก การเรียน และการทำงาน
✓ คุณขาดแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต รู้สึกว่าตนเองหลงทาง หลักลอย หาเป้าหมายในชีวิตไม่เจอ และไร้ค่า
✓ คุณรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีกำลังใจในการทำงานไม่อยากพบปะผู้คน และอาจถึงขั้นพยายามคิดสั้น
   ถ้าใครมีพฤติกรรมเสี่ยงตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป นับว่าเป็นสัญญาณร้ายที่บ่งบอกให้รู้ว่า คุณกำลังขยับเข้าไปใกล้โรคซึมเศร้ามากขึ้นทุกทีแล้ว ถ้าไม่อยากให้อาการนอยด์ ๆ ลุกลามกลายไปเป็นโรคอันตรายแล้วละก็ ลองหาวิธีแก้เบื่อตัวเองง่าย ๆ กันดีกว่า
1. เบื่อนักก็เปลี่ยนซะ!
เริ่มต้นจากการทำสิ่งง่าย ๆ เช่น ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนใหม่อาจจะด้วยการเปลี่ยนทรงผมและสไตล์การแต่งตัว แต่ต้องจำไว้ว่า อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเราให้เหมือนใคร แต่จงเป็นคุณในแบบที่มั่นใจและเป็นตัวคุณเองสุด ๆ นี่แหละ!
นอกจากเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ก็ควรเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วยเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกซ้ำซากจำเจ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งบ้านใหม่ จัดสวนใหม่ ปรับเปลี่ยนมุมในบ้านหรือที่ทำงานให้แปลกตาไปกว่าเดิม
นอกจากนี้อาจลองเปลี่ยนเส้นทางในการไปทำงานหรือกลับบ้าน อาจเลือกใช้เส้นทางลัดบ้าง ทางอ้อมบ้าง ลองเปลี่ยนไปนั่งรถประจำทาง รถไฟใต้ดิน หรือปั่นจักรยานบ้าง นอกจากจะได้เห็นทิวทัศน์ที่แปลกตาไปจากเดิมแล้ว คุณยังอาจได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ข้างทางด้วยก็เป็นได้
2. เขียนไดอะรี่ระบายความสุข
การเขียนไดอะรี่แม้จะเป็นวิธีระบายอารมณ์ที่ดีวิธีหนึ่ง แต่รู้หรือไม่ว่า ความจริงแล้วการเขียนไดอะรี่เพื่อระบายความทุกข์แล้วกลับมานั่งอ่านซ้ำ ๆ ทุกวันอาจทำให้คุณหมกมุ่นอยู่กับความเศร้า และกังวลกับเรื่องต่าง ๆ มากกว่าจะปล่อยให้มันผ่านไปก็เป็นได้ ถ้ายังอยากเขียนไดอะรี่ ลองเปลี่ยนมาบันทึกแต่เรื่องราวดี ๆ ที่พบเจอในแต่ละวัน สิ่งที่สร้างรอยยิ้มให้กับคุณคำชมเชยจากคนรอบข้าง หรือสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจ…แล้วอย่าลืมหยิบมาอ่านบ่อย ๆ ด้วยล่ะ!
3. หยุดเสพติดโซเชียลซะที
แม้การเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค พูดคุยกับเพื่อน ๆ แบบออนไลน์จะช่วยให้เราหายเบื่อได้ แต่ก็อย่าให้ถึงขั้นเสพติดเลยนะเพราะความจริงแล้วมีผลการวิจัยออกมาว่าการเสพติดโซเชียลจะเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคซึมเศร้าได้ง่าย เพราะคนเรามักแสดงเฉพาะด้านดีและชีวิตสุดเพอร์เฟ็กต์ออกมาในสังคมออนไลน์ ดังนั้นถ้าเราเสพติดนาน ๆและเผลอเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเองแล้วละก็…ความภูมิใจในตัวเองอาจหลุดลอยไปสักวัน!
4. ทำกิจกรรมสนุกสุดเหวี่ยง
การหาอะไรสนุก ๆ ทำเป็นวิธีที่จะทำให้คลายเครียดได้เป็นอย่างดี แต่เดี๋ยวก่อน!สุดเหวี่ยงในที่นี้ต้องเซย์โนอบายมุขทั้งหลายด้วยนะ…อาจลองใช้วิธีขำ ๆ เช่น ออกไปช็อปปิ้งด้วยเงินในกระเป๋าเพียง 100 บาทสร้างบัญชีเฟซบุ๊กใหม่ขึ้นมาแล้วโพสต์อะไรสนุก ๆ แบบไม่แคร์สื่อ แต่ต้องแน่ใจว่าไม่ได้ทำผิดบาปหรือทำร้ายใคร หรือไปเที่ยวแบบสนุกสนานผจญภัย แต่แทนที่จะไปกับแก๊งเพื่อน ก็เปลี่ยนเป็นพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวสวนสนุกดูบ้าง อาจช่วยให้ชีวิตมีสีสันตื่นเต้นไปอีกแบบก็ได้ ใครจะรู้
5.  เติมคุณค่าให้ชีวิต
อาการเบื่อตัวเองมักจะเกิดจากการ“ว่าง” จนทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน ดังนั้นลองหากิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคมทำดู เช่น สมัครเรียนคอร์สสั้น ๆที่คุณสนใจ เช่น เรียนภาษา เรียนทำขนมเรียนร้องเพลง เรียนโยคะ ไปเยี่ยมคนชราผู้พิการ หรือเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์หรือสมัครเป็นอาสาสมัครในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม…แล้วคุณจะรู้สึกว่าตัวคุณเองก็มีคุณค่าเหมือนกันนี่นา!
6. ตั้งเป้าหมายง่าย ๆ ให้ชีวิต
พยายามตั้งเป้าหมายให้ชีวิตแบบง่าย ๆ แล้วท้าทายตัวเองให้ทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ เช่น ท้าตัวเองให้ลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายโดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ใน 1 เดือนน้ำหนักจะต้องลดลงไป 2 กิโลกรัม หรือทดลองปลูกผักสวนครัว โดยตั้งเป้าหมายว่า ในอีก 2 เดือนข้างหน้าจะต้องได้กินอาหารที่มีส่วนผสมของผักที่คุณปลูกเองทุกมื้อ…เมื่อทำสำเร็จตามเป้าแล้วก็อย่าลืมให้รางวัลกับตัวเองด้วยล่ะ!
    หากทำได้เพียง 6 ข้อนี้ รับรองว่าคุณจะรู้สึกรักและภาคภูมิใจในตัวเองขึ้นอีกหลายเท่าตัว…แล้วพลังบวกในตัวคุณก็จะตามมาเองจนคุณอาจนึกไม่ถึง
ที่มา : www.goodlifeupdate.com


หากชอบ และถูกใจ กดแชร์ แบ่งปันกันไปนะคะ ^^
 FaceBook

8 พฤษภาคม 2560

เคล็ดลับ..จีบสาวอย่างเหนือชั้น


        ลืมคลับหูแตกและบาร์ขี้เมาไปได้เลย เพราะคุณควรออกไปเจอสาวๆ ในที่ๆ เหมาะสม หรือในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติของพวกเธอมากกว่าสถานบันเทิงยามค่ำคืน ต่อไปนี้คือทำเลทองและวิธีจีบแบบเหนือชั้นสำหรับการค้นหาคู่เดทที่มีคุณภาพ...  แนะนำโดย ดร. วิคตอเรีย ซีดร็อก
หากคุณต้องการทำแต้มกับสาวๆ ควรหลีกเลี่ยงทำเลที่ธรรมดาเกินไป คุณต้องไปเตร่ในสถานที่ซึ่งสาวๆ จำนวนมากนิยมมาใช้เวลาว่างอย่างแท้จริง สถานที่เหล่านั้นจะช่วยให้คุณค้นพบผู้หญิงที่ดีและคู่ควร เพราะอย่างน้อยคุณก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งว่ามันไม่ใช่ที่สิงสู่ของสาวใจแตกหรือโสเภณีชั้นสูงเหมือนสถานบันเทิงยามราตรีจำนวนมาก
อีกอย่าง-ผู้หญิงที่คุณได้เจอไม่เพียงจะมีท่าทีผ่อนคลาย ทำตัวตามสบาย และยินดีจะคุยกับใครสักคน แต่สภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติก็ทำให้การเปิดประเด็นสนทนา เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าในบาร์ในคลับ เพราะในสถานบันเทิงเหล่านั้นผู้หญิงส่วนใหญ่มักมองว่าผู้ชายทุกคนเป็นเสือผู้หญิงหรือเป็นหมาป่าออกล่าเหยื่อ
ด้วยเหตุนี้คุณควรมองข้ามช็อต ว่าการซื้อแฟรพปุชชิโน่ (Frappuccino) เลี้ยงเธอสักแก้ว หรือการคุยกันเรื่องเสื้อผ้าในร้านขายเครื่องแต่งตัว จะทำให้คุณได้เชยชมเรือนร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวแสนสวย มากกว่าการจ่ายค่าชาร์จก้อนโตเปย์สาวๆ ตามคลับตามบาร์
ร้านกาแฟ
สุดยอดสถานที่แห่งหนึ่งในการจีบสาวคือร้านกาแฟข้างบ้านคุณ ผลการวิจัยของบริการนัดเดทออนไลน์หลายแห่งระบุตรงกันว่า ร้านกาแฟเป็นที่โปรดในการนัดเจอหนุ่มๆ ของผู้หญิงกลุ่มใหญ่ ด้วยเหตุผลของความสะดวก สบาย และปลอดภัย อีกทั้งยังไม่แพงต่อการใช้เวลาทำความรู้จักกับใครสักคนอย่างจริงจัง
นอกจากนั้น คุณยังสามารถนั่งจิบเครื่องดื่มท่ามกลางสิ่งแวดล้อมอันผ่อนคลายของร้านกาแฟ ขณะคอยมองหาสาวที่ต้องตาต้องใจ และวางแผนเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เพราะบรรยากาศโดยรวมเป็นใจอยู่แล้วสำหรับการเปิดฉากคุยกับคนที่คุณหมายตา
ตัวอย่างเช่น คุณอาจขอความเห็นของเธอเกี่ยวกับเครื่องดื่มที่มีให้เลือกอย่างมากมาย หรือทำตลกเกี่ยวกับชื่อแปลกๆ ของกาแฟชวาที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาใหม่ หากทำให้เธอหัวเราะได้ นั่นหมายความว่าคุณสามารถเอาชนะใจเธอได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
โรงยิมหรือห้องฟิตเนส
สถานที่อันแสนวิเศษในการจีบสาวแรงสูงขณะที่คุณกำลังเพิ่มสมรรถภาพทางกายให้ตัวเอง เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าการออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการหลั่งเทสโทสเตอโรนหรือ "ฮอร์โมนราคะ" (horny hormone) ปลุกเร้าอารมณ์เพศทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย  ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากที่เธอจะฝันถึงการมีเซ็กซ์หลังออกกำลังกายเสร็จใหม่ๆ
หากคุณตั้งใจใช้สถานออกกำลังกายเป็นที่จีบสาว ขอแนะนำชั้นเรียนหรือห้องฝึกที่มีผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ เช่น โยคะ พิลาติส ระบำหน้าท้อง และแอโรบิก เพื่อลดการแข่งขันกับชายอื่น และเพิ่มความสนใจให้กลุ่มเป้าหมาย ถ้าคุณเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในชั้นเรียนระบำหน้าท้อง รับรองได้ว่าคุณสามารถเลือกสาวๆ ที่หมายตาไว้ได้แน่
นอกจากนั้น โรงยิมหรือสถานออกกำลังกายยังเปิดโอกาสให้คุณรับรู้สัดส่วนของผู้หญิงโดยไม่สร้างความขุ่นเคืองให้แก่เธอ และคุณสามารถทำให้เธอสนใจได้ทันที โดยการทำตัวเป็นกระจกส่องให้เธอเห็นความมุ่งมั่นหรือความเก่งกาจของเธอเอง
ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังต้องการสร้างความฟิตให้หน้าท้อง เลือกเป้าหมายสักคนที่กำลังใช้เครื่องออกกำลังกายตัวเดียวกัน แล้วถามเธอว่ามันใช้ได้ผลขนาดไหน การแบ่งปันประสบการณ์ ความสนใจพื้นฐาน และเป้าหมายในการออกกำลังกายแก่กันและกัน เป็นหนทางสำคัญในการพัฒนาสายสัมพันธ์ให้ก้าวไกลและดีขึ้น ถ้าโชคดีและคลิกกันลงตัว ก็มีสิทธิ์ออกกำลังกายบนเตียงเป็นลำดับต่อไป
ห้องเรียนเสริมทักษะ
งานอดิเรกเพื่อเพิ่มทักษะหรือพัฒนาศักยภาพของตัวเองดีต่อการใช้ชีวิตและการจีบสาวไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะงานอดิเรกที่มีคนให้ความสนใจทั้งสองเพศ เช่น การวาดรูปและทำสิ่งประดิษฐ์ การทำกับข้าว เล่นเปียโน การทำนายโชคชะตา การฝึกฝนภาษาต่างประเทศ ห้องเรียนที่เปิดสอนหรือฝึกอบรมงานอดิเรกเหล่านั้น จะช่วยให้คุณเจอหญิงสาวมากมายขึ้น
แต่ถ้าคุณเป็นพวกชอบความเสี่ยง และอยากเจอผู้หญิงรักความเร็ว ขอแนะนำให้ไปโรงเรียนสอนขับรถ หรือถ้าคุณมีคุณสมบัติของผู้หญิงที่กำลังมองหาอยู่ในใจ ก็สามารถเลือกได้ด้วยการสมัครเรียนหรือร่วมฝึกอบรมในงานอดิเรกที่ผู้หญิงประเภทนั้นให้ความสนใจ
การแสดงออกถึงความสนใจในสิ่งเดียวกัน ไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นอันดีในการพูดคุยกันเท่านั้น มันยังช่วยเพิ่มความสนิทสนมให้กันและกันอย่างรวดเร็ว และทำให้เธอหลงเสน่ห์คุณจนดิ้นไม่หลุด
ในการพูดคุย คุณอาจขอความเห็นของเธอเกี่ยวกับบรรยากาศของชั้นเรียน ทำตลกเกี่ยวกับทักษะอันอ่อนด้อยของคุณ หรือขอคำแนะนำจากเธอ เช่น หากคุณเจอเธอในคอร์สฝึกอบรมการทำอาหาร คุณอาจคุยกับเธอว่า "ทุกคนคล่องแคล่วราวกับเป็นเชฟกันมาก่อน มีแต่ผมคนเดียวที่ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เอาซะเลย คุณจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขอให้คุณช่วยแสดงให้ดูว่าแป้งเหล่านั้นตอบสนองความต้องการของคุณได้ยังไง"
หากเธอตอบรับคำขอของคุณ โอกาสที่คุณจะได้ลิ้มรส "อาหารอันโอชะ" ของเธอก็มีอยู่เกินครึ่งแล้ว
ร้านเสริมสวย
ผู้หญิงแทบทุกคนมักห่วงสวยและเป็นกังวลกับรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แทนที่จะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระหรือน่าเบื่อ คุณควรนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการเข้าไปตัดผมรวมทั้งทำเล็บมือเล็บเท้าในร้านเสริมสวยของผู้หญิงให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
คุณควรสลัดคราบผู้ชายยุคโบราณทิ้งไป เพราะทุกวันนี้ผู้หญิงชอบผู้ชายที่รักสวยรักงามและสะอาดเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า พยายามคุยกับช่างตัดผมหรือช่างทำเล็บ เพราะพวกเธอจะรู้ดีว่าลูกค้าคนไหนโสดและกำลังอยากมีแฟนบ้าง
ไม่เพียงแค่นั้น เวลาเข้าร้านเสริมสวย ลูกค้าสาวๆ มักชอบเมาธ์เรื่องเซ็กซ์กับช่างทำผม ชนิดที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน ดังนั้นคุณสามารถรวบรวมโลกใหม่แห่งความรู้เกี่ยวกับเป้าหมายของคุณ ขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกับพวกเธอ
วิธีที่ดีที่สุดในการจีบผู้หญิงรักสวยรักงาม คือหมั่นหยอดคำชม เช่น "ผมทรงนี้เหมาะกับคุณจังเลย" หรือเล่าเรื่องขำๆ ให้เธอฟัง เช่น "หลังจากเห็นคุณเพิ่งไปแว็กซ์ขนมา ผมเลยอยากเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่เพื่อนผมตัดสินใจแว็กซ์ขนหน้าอกด้วยตัวเอง"
ร้านบูติก
ผู้หญิงทุกคนที่ฉันรู้จักชอบใช้เวลานานๆ เดินเล่นตามศูนย์การค้า คุณก็ควรทำแบบนั้นเช่นกัน! การไปเดินเตร็ดเตร่ตามร้านขายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอันทันสมัย จะทำให้คุณเจอผู้หญิงที่ทำงานหรือเดินช็อปปิ้งอยู่แถวนั้น
ร้านบูติกนำสมัยในศูนย์การค้า ยังทำให้คุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตามต้องการจากนิสัยการช็อปของเธอ เช่น ถ้าคุณชอบสาวหวานแหววแนวคิกขุ ก็จะมีร้านขายเสื้อผ้าเฉพาะกลุ่มที่ผู้หญิงภายในร้านตรงสเป็กของคุณแทบทุกคน
ที่สำคัญ การเลือกซื้อสินค้าร้านเดียวกัน ก็ช่วยให้การเปิดฉากสนทนาเป็นไปได้ง่ายและไม่น่าเกลียด เช่น คุณอาจขอให้เธอช่วยเลือกของขวัญสำหรับน้องสาวหรือเพื่อนร่วมงานของคุณ หรือขอความเห็นของเธอเกี่ยวกับของบางชิ้นที่อยู่ภายในร้าน เป็นต้น
เชื่อเถอะ ถ้าเธอยอมนับ 1 ร่วมกับคุณ แสดงว่าประตูของเธอเริ่มเปิดแล้ว
งานแสดงสินค้า
โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า สุรา ยาสูบ หรือรถยนต์ งานเหล่านั้นมักเต็มไปด้วยนางแบบหรือพริตตี้ที่แต่ละบริษัทจ้างมาดึงดูดความสนใจของลูกค้า หากคุณมีโอกาสเข้าร่วมงานแสดงสินค้าไม่ว่าในฐานะใด อย่าปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป
ถ้าคุณทำงานในบริษัทที่นำสินค้าไปร่วมโชว์ เสนอบริษัทให้หาพริตตี้มาไว้ในบูธ เพื่อดึงดูดความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา ขณะเดียวกันคุณก็ควรแวะไปชมสินค้าของบริษัทบ้าง เพราะพริตตี้สาวๆ ถูกจ้างมาเพื่อพบปะและพูดคุยกับลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งรับรองได้ว่าคุณอยู่ในกลุ่มนั้นอย่างแน่นอน
การใช้วิธีนี้ ควรมั่นใจว่าพริตตี้ที่คุณหมายตาก็รู้ว่าคุณสนใจในตัวเธอ โดยมอบคำชมให้เธอ เช่น "คุณทำงานดีมาก ผมจะบอกบริษัทว่าควรมีโบนัสมอบให้คุณ" หรือชวนเธอมาทำงานอีกในครั้งต่อไป เช่น "ผมจะบอกหัวหน้าให้จ้างคุณมาอีกเมื่อเราออกบูธในคราวหน้า"
และต้องจำไว้ด้วยว่า เธออาจยืนทำงานมานานหลายชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพัก ดังนั้นคุณควรเสนอตัวไปหาอาหารและเครื่องดื่มมาให้เธอ หรือบอกให้เธอพัก ซึ่งอาจทำให้เธอสำนึกบุญคุณ ยอมรับนัดหลังเลิกงาน หรือไปฉลองกันต่อที่บ้านของคุณ
งานการกุศล
จากผลการสำรวจแทบทุกโพลล์ "ความเมตตา" เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวติดอันดับท็อป 5 ของเพศชาย ที่เพศหญิงมองหา ดังนั้นการแสดงให้เห็นว่าคุณมีคุณสมบัติข้อนี้อยู่เต็มเปี่ยม จึงเป็นหนทางที่มั่นใจได้ในการใช้จีบสาวให้อยู่หมัด
คุณสามารถเพิ่มความเป็นคนใจบุญมีน้ำใจ และเพิ่มเสน่ห์ในสายตาสาวๆ ด้วยการอุทิศตนเป็นอาสาสมัครในบ้านพักคนชรา มูลนิธิสงเคราะห์สัตว์หรือคนจรจัด รวมทั้งองค์กรการกุศลอื่นๆ
ตามปกติ ผู้หญิงที่ทำงานในองค์กรเหล่านั้น มักเป็นผู้ให้ เป็นผู้ดูแล และเป็นมิตรโดยธรรมชาติ เธอยินดีรับฟังเรื่องเศร้าของคนอื่น และเห็นว่าการทำงานเพื่อชุมชนเป็นสิ่งมีค่า แค่คุณอุทิศตัวเพื่อสิ่งนั้น ก็สามารถทำให้เพื่อนร่วมงานของคุณเกิดความรู้สึกอบอุ่นได้ไม่ยาก
กลุ่มบำบัด
กลุ่มบำบัดไม่ว่าบำบัดอาการติดเหล้า ติดยา ติดการช็อปปิ้ง หรือติดเซ็กซ์ ฯลฯ นับเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการสร้างความเห็นอกเห็นใจ คนทุกข์ย่อมเข้าใจกันและกัน และการพยายามกลับตัวกลับใจไปพร้อมๆ กัน ก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดและอับอาย
การกุมมือกันเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัด ซึ่งจะช่วยให้ความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ฉันหวังว่าคุณๆ ทั้งหลายคงไม่จำเป็นต้องเข้ากลุ่มบำบัด แต่ถ้าใครอยู่นอกเหนือจากความคาดหวังของฉัน ลองใช้กลุ่มบำบัดนั้นให้เป็นประโยชน์ เริ่มจากเลือกเข้ากลุ่มที่มีผู้หญิงหน้าตาดีหรือผู้หญิงที่เข้าสเป็กของคุณ จากนั้นเข้าไปคุยกับเธอเลย ว่าคุณต้องการเพื่อนที่จะผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายไปด้วยกัน ขอให้เธอมาเป็นเพื่อนคุณได้หรือเปล่า
ถ้าเธอตกลงจงเดินหน้าต่อไป เพราะการบำบัดสิ่งเสพติดทั้งหลายนั้น ต้องการความสัมพันธ์แห่งรักมาช่วยเยียวยา ดังนั้นคุณจะสามารถเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น ด้วยการบำบัดที่ถูกต้อง และการสร้างสัมพันธ์รักแบบเหนือชั้น
DEAR DR.Z

แปลและเรียบเรียงโดย : รจริน รุจิรา
 FaceBook

6 เคล็ดลับ ที่จะช่วยให้รูปร่างดีและมีความสุข

6 เคล็ดลับที่จะช่วยให้รูปร่างดีและมีความสุข
6 เคล็ดลับที่จะช่วยให้รูปร่างดีและมีความสุข


    วันนี้มี 6 เคล็ดลับ ที่จะทำให้คุณสุขภาพดีแถมมีความสุขมากฝาก งานนี้ทำได้ไม่ยากแต่จะมีวิธีไหนบ้างตามมาเลย

1.  อารมณ์ดี
         เพราะการที่มีอารมณ์ดีจะช่วยให้คุณมีสุขภาพดี และนอกจากนี้ยังช่วยส่งผลให้ผิวคุณสวยงามยิ่งขึ้น
2.  พักผ่อนให้เพียงพอ
        การนอนหลับ นอกจากการจะเป็นการพักผ่อนแล้ว การนอนหลับยังช่วยให้ฮอร์โมนหลั่งดีขึ้น
3.  จดและบันทึก
        ลองจดและบันทึกดูกิจกรรมแต่ละวันว่าเราทำอะไรไปบ้าง เช่น วันนี้ไปกี่นาที หรือวันนี้รับประทานอาหารอะไรไปบ้าง เป็นต้น
Advertisement
4.  ลองทำอะไรใหม่ๆบ้าง
         เช่นลองปรับเปลี่ยนวิธีการทาน อาจจะเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น บางสิ่งอาจจะไม่ถูกใจปาก แต่มันอาจจะดีต่อร่างกาย
5.  ลองเปลี่ยนวิธีการออกกำลังกาย
        อาจจะเปลี่ยนจากการวิ่งบนลู่ ไปเป็นการวิ่งในสนามหรือพื้นหญ้า เพื่อให้ร่างกายได้สูดอากาศบริสุทธิ์
6.  อย่ากลัวว่าใครจะว่าคุณว่าหุ่นไม่ดี
        มั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเอง วันนี้หุ่นเราอาจจะไม่เฟอร์เฟค แต่หากหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอรับรองได้ว่าสักวันคุณต้องมีรูปร่างที่สวยอย่างแน่นอน
ขอขอบคุณ
ข้อมูล : Fitness First Thailand

 FaceBook