21 มีนาคม 2560

รถยนต์กับร่างกายคน....เปรียบเทียบได้ดีมาก


บทเรียนจาก...รถยนต์

๑.  การขับรถกลางหมอกอันตราย...เพราะทัศนวิสัยลดลงกว่าครึ่ง
ไฟตัดหมอกแห่งชีวิตที่ดีที่สุดคือ...สติ

๒.  ไม่ดูแลเครื่องยนต์สม่ำเสมอ  รถอาจตายกลางทางได้
คนที่ไม่สำรวจความสามารถ ความรู้ ทักษะของตัวเองเป็นระยะ ๆ อาจพบด้วยความขมขื่นว่าต้องตกงานในวัยกลางคน
เราจึงควรรู้จักตัวเอง ประเมินตัวเอง และเรียนรู้ตลอดเวลา

๓.  ลมยาง  ถ้าหากน้อยไปทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น ทรงตัวไม่ดี ลมยางมากเกินไปทำให้รถกระดอนไม่ปลอดภัย ช่วงล่างพังเร็ว
คนเราต้องการจิตใจที่ไม่อ่อนแอปวกเปียกไม่สู้ชีวิต แต่ก็ไม่แข็งกระด้างไร้เมตตา
รักษาความอ่อนโยนมีความรัก ความเมตตา และความเข้มแข็งหนักแน่นที่สามารถรองรับปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะหนักหน่วงแค่ไหน

๔. ไม่ดูแลหัวเทียนเลย อาจจุดเครื่องยนต์ไม่ติด
เกิดเป็นคนต้องเติมไฟสร้างสรรค์ใส่ตัวเสมอ พร้อมให้จุดติดได้ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นอาจล้าหลังเพราะพาหนะแห่งชีวิตไม่ยอมเคลื่อน
เติมไฟให้ตัวเอง เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ กล้าเปลี่ยนแปลง สร้างความกระตือรือล้น กระฉับกระเฉง ไม่เฉื่อยชา

๕.  น้ำมันเครื่อง เปรียบเสมือนโลหิตที่หล่อเลี้ยงร่างกาย ทำหน้าที่บำรุงรักษาเครื่องยนต์ทั้งระบบ ลดแรงเสียดทาน ระบายความร้อน ชะล้างสิ่งสกปรก ป้องกันความสึกหรอของชิ้นส่วนต่าง ๆ
การไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเลยอาจทำให้เครื่องยนต์พังได้
การเติมทัศนคติใหม่ ๆ การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น การเปลี่ยนมุมมอง ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้อาชีพการงานและการใช้ชีวิตเดินหน้าโดยไม่สะดุด

๖.  ปล่อยให้น้ำกลั่นเหือดแห้ง แบ็ตเตอรีอาจดับโดยไม่เตือนล่วงหน้า
เติมน้ำดีเข้าไปในใจเสมอเพื่อให้แบ็ตเตอรีแห่งใจสดชื่นเสมอ คิดดี ทำดี

๗.  ปล่อยให้น้ำฉีดกระจกรถพร่องหรือแห้งกรัง ทำให้ล้างกระจกไม่ได้ เป็นอันตรายต่อการขับขี่อย่างยิ่ง
คนฉลาดจึง ‘ล้างตา’ ให้สว่างเสมอเพื่อให้มองเห็นทางชีวิตชัดเจนทุกช่วง น้ำยาล้างตาที่ดีคือความรู้ใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ

๘.  ไม่เติมน้ำมันให้พอ รถอาจจอดตายกลางถนน เพราะปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดก็อาจไกลเกินไป
ตรวจสอบเชื้อเพลิงของตัวเองสม่ำเสมอ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ รักษาสุขภาพทั้งกายและใจให้ดีพร้อม

๙.  ทัศนวิสัย นการขับรถกลางคืนลดลงกว่าตอนกลางวันมาก โดยเฉพาะสำหรับคนสูงอายุที่สายตาเสื่อมลง
บางครั้งเราต้องฟันฝ่าอุปสรรคในช่วงที่ชีวิตตกต่ำดำมืด เพราะไม่ใช่ถนนทุกสายมีไฟส่องทาง ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความระมัดระวังโดยใช้สติเป็นไฟนำทาง

๑๐.  การขับรถในที่ปลอดภัยมักทำให้ประมาท เพราะมองไม่เห็นอันตราย
การใช้ชีวิตที่ดูจะสมบูรณ์พูนสุขอาจประสบ ‘อุบัติเหตุ’ ได้ เพราะปัจจัยภายนอกอาจเข้ามากระทบโดยไม่เตือนล่วงหน้า
จึงต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

๑๑.  โช้คอัพช่วยรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ
ในชีวิตเราต้องเจอเรื่องไม่ดีที่สั่นสะเทือนใจ จึงต้องรักษาโช้คอัพแห่งชีวิตให้เข้มแข็ง รับเรื่องดีได้อย่างไม่เหลิง รับเรื่องร้ายได้โดยไม่สะเทือนมาก
โช้คอัพที่ดีที่สุดคือ...สติและปัญญา

๑๒.  ขับรถโดยไม่มองกระจกหลัง อาจเกิดอุบัติเหตุ ขับรถโดยมองแต่กระจกหน้าก็อาจเป็นอันตราย
ใช้ชีวิตโดยมองไปข้างหน้า แต่ก็มองบทเรียนที่ผ่านมา

๑๓.  มีล้อรถสำรองเสมอ และเติมลมยางล้อสำรองด้วย
ดำเนินชีวิตโดยไม่ประมาท มีแผนสองไว้เสมอ
และถึงมีล้อสำรอง แต่ไม่มีเครื่องมือเปลี่ยนล้อ ก็คือไม่มีล้อสำรอง! ทำงานโดยไม่วางแผนอาจไปช้าหรือสะดุด หรือล้มเหลวได้

๑๔. รถสีซีด มีรอยขีดข่วนหรือรอยบุบก็ยังวิ่งได้ เพราะหัวใจของรถคือเครื่องยนต์ ไม่ใช่รูปโฉมภายนอก
คนก็เช่นกัน...มันสมองสำคัญกว่าหน้าตา หน้าตาอาจช่วยให้ได้งาน ทว่ามีแต่สมองที่จะรักษามันได้

๑๕.  ราคารถร่วงตกหลังใช้แล้ว แต่รถคลาสสิกเป็นที่ต้องการเสมอ
เช่นเดียวกับ...คนที่กรำประสบการณ์

๑๖.  ยี่ห้อรถไม่ช่วยให้รถปลอดภัย คนขับและวิธีขับต่างหากที่กำหนดความปลอดภัย
เกิดในตระกูลใหญ่โต มรดกมากมาย ถ้าไม่รู้จักขวนขวายหาความรู้ ไม่รู้จักคิด ชีวิตก็ดิ่งลงเหวได้

๑๗.  เครื่องประดับตกแต่งรถ เพื่อความสวยงามหรือเท่ไม่ช่วยให้รถแล่นเร็วขึ้น หรือทนทานขึ้น
เสื้อผ้าหน้าผมหรือรูปลักษณ์ภายนอกไม่แก้ปัญหาได้ สมองและปัญญาต่างหาก

๑๘. ระบบเบรกรักษาความปลอดภัย ไม่ให้เกิดการชน
ความรู้ดีรู้ชั่วช่วยให้เรารอดพ้นจากอันตรายของอบายมุข เพื่อนไม่ดี สิ่งแวดล้อมเลว

๑๙. การจูนเครื่องยนต์ทำให้รถแรงขึ้นได้ฉันใด
การเพิ่มความรู้และทักษะพิเศษก็ทำให้เราฉลาดขึ้น มีโอกาสในชีวิตมากขึ้นฉันนั้น

๒๐.  จอดรถใต้ที่ร่มทำให้รถไม่ร้อน ไม่เปลืองแอร์ฯ และอายุยาวนานกว่า
ใช้ชีวิตในร่มเงาธรรมทำให้จิตไม่ร้อนรุ่ม

๒๑.  รถเก่าราคาถูกที่ดูแลดี อาจไปได้ไกลกว่าหรือทนกว่ารถใหม่ราคาแพงที่ไม่ดูแลรักษาเลย
ร่างกายไม่แข็งแรง แต่รู้จักดูแลตัวเอง ก็อยู่ได้นาน เกิดมาไม่ฉลาดแต่ขยันขันแข็ง ก็ไปถึงที่หมายได้

๒๒.  รถที่บรรทุกของหนักมากไป  ทำให้ทุกระบบเสื่อมลง รถเก่าเร็วขึ้น
มนุษย์ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน ก็ไม่อาจรับความกดดันต่อเนื่องโดยไม่ผ่อนคลาย อย่าแบกโลกไว้ รู้จักปล่อยวางบ้าง

--------------------------------------------------------------------------------

14 มีนาคม 2560

11 วิธีเเคล็ดลับ การขับรถให้ประหยัดน้ำมันที่สุด

11 วิธีการขับรถให้ประหยัดน้ำมันที่สุด
     การขับรถให้ประหยัดน้ำมันในยุคน้ำมันแพง ในชีวิตประจำวันเราต้องใช้รถยนต์ในการเดินทาง บางท่านอาจต้องใช้ทุกวัน เราจึงมีเทคนิคการขับรถให้ประหยัดน้ำมันมาฝาก  มีทั้งหมด 11 วิธีด้วยกัน ดังนี้

11 วิธีการขับรถให้ประหยัดน้ำมันที่สุด
1. สตาร์ทอุ่นเครื่องอยู่กับที่ อย่างเหมาะสม 
การอุ่นเครื่องจะทำให้ระบบหล่อลื่นทำงานดีขึ้น ควรอุ่นเครื่องสัก 1 - 2 นาที ก่อนที่จะใช้รถเพื่อให้เครื่องยนต์พร้อมสตาร์ท การอุ่นเครื่องไม่ควรเบิ้ลเครื่องยนต์ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันที่สุด และไม่อุ่นเครื่องนานเกินไป หรือขับออกไปอย่างนิ่มนวลด้วยความเร็วรอบต่ำประมาณ 1 - 2 กิโลเมตรก็ได้
2. ไม่ขับรถออกเร็วกระชาก แบบรวดเร็วอย่างรุนแรง 
ออกรถแบบกระชากดังเอี๊ยด หรือแบบรถแข่ง เบรกทุกครั้งแบบกระทืบ จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก แถมยังเป็นการทำลายชิ้นส่วนต่างๆ ของรถ ทำให้สึกหรอมากขึ้น เป็นการลดอายุการใช้งานของรถให้สั้นลง นอกจากนี้ยังไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินอีกด้วย
3. ไม่ขับรถเร็วเกินความจำเป็น 
การขับรถเร็ว จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นเกินความจำเป็น และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การใช้ความเร็วอย่างสม่ำเสมอ ไม่เร่งเครื่องทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น ในกรณีที่ท่านขับรถทางไกล ที่มีความเร็ว 80 กม./ชม. จะสามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 10-15 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
4. ออกรถ หรือขับนิ่ม ๆ บนคันเร่งแผ่วๆ 
เมื่อรถเคลื่อนที่ออกไประยะหนึ่ง โดยให้รอบเครื่องยนต์อยู่ในระดับของแรงบิดที่เหมาะสมของรถรุ่นนั้นๆ หรือง่ายๆคือไม่ควรเกิน 2,000 – 2,500 รอบ/นาที (ยกเว้นกรณีมีความจำเป็นต้องใช้อัตราเร่งที่มากกว่า) แล้วก็ค่อยๆ ให้เคลื่อนยนต์เปลี่ยนจังหวะเกียร์เองเรื่อยๆ (กรณีเกียร์อัตโนมัติ) พยายามควบคุมความเร็วให้สม่ำเสมอ ช่วนประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงความเร็วที่เหมาะสมได้ 2-5 %
5. ไม่บรรทุกน้ำหนักเกินพิกัดของรถ 
การบรรทุกน้ำหนักของรถยนต์ ซึ่งในแต่ละคันจะมีอัตราการบรรทุกบอกไว้ ถ้าบรรทุกน้ำหนัก หรือสิ่งของหนักเกินไป ก็จะทำให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น ทำให้รถมีอายุการใช้งานที่สั้นลง ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอสูงกว่าปกติ อีกทั้งยังเป็นการไม่ปลอดภัยต่อการควบคุมการขับขี่อีกด้วย
6. ใช้เครื่องปรับอากาศให้พอดี 
เปิดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม เพราะการใช้เครื่องปรับอากาศทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น และกินน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 10 % จึงควรปรับระดับความเย็น และความแรงของลมให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ จะเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกทาง หนึ่งด้วย
7. ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งเมื่อจอดนานๆ 
การจอดรถเวลานานๆ ในขณะเครื่องยนต์กำลังทำงานนอกจากจะผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วยังสร้างมลภาวะเป็นพิษทางอากาศให้กับสิ่งแวดล้อมอีก ฉะนั้นการดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่ต้องจอดเป็นเวลานานๆ หรือหากต้องรอประมาณ 3-4 นาทีขึ้นไป ก็ควรดับเครื่องยนต์ สามารถประหยัดน้ำมันถึง 3 – 5% และยังเป็นการรักษาสภาพแวดล้อมอีกด้วย
8. วางแผนการเดินทาง ช่วยประหยัดน้ำมัน 
ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ควรมีจุดหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนการเดินทาง เช่น ศึกษาเส้นทางลัด เลี่ยงเส้นทางรถติด ฟังรายงานจราจร จะช่วยให้ถึงที่หมายได้เร็วขึ้น ปลอดภัย และช่วยให้ท่านประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่งด้วย
9. ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่ม และบรรทุกไม่สมดุล 
มีการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเกินความจำเป็น เช่นเครื่องเสียงชุดใหญ่ ชุดตกแต่งภายนอก ฯลฯ ทำให้เครื่องยนต์รับภาระเพิ่มขึ้นและอุปกรณ์ บางอย่างทำให้ต้านลมและหนักทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน หรือแม้กระทั้งการบรรทุกไม่สมดุล ทำให้น้ำหนักตัวรถไม่บาลานซ์ ทำให้การควบคุมรถลำบากและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อีกด้วย
10. ขับรถขึ้นเขา ลงเขา ให้ประหยัดและปลอดภัย 
เวลาขับรถขึ้นเขา และลงเขา ควรใช้เกียร์ต่ำ เร่งความเร็วให้สม่ำเสมอ เพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวล ห้ามขับรถขึ้นเขา โดยใช้เกียร์สูง เพราะจะทำให้รถไม่มีแรงกำลังขับเคลื่อน และกินน้ำมันมากขึ้น และห้ามขับรถลงเขาด้วยเกียร์ว่างโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีแรงหน่วงของเครื่องยนต์ทำให้เกิดอันตรายได้ ควรใช้เกียร์ต่ำและค่อยๆปล่อยรถให้ไหลลงไปตามรอบเครื่องยนต์เอง พร้อมควบคุมความเร็วให้สัมพันธ์กับเกียร์ ทำให้ประหยัดน้ำมัน
11. หมั่นตรวจเช็คสภาพรถยนต์ก่อนออกเดินทาง
หมั่นตรวจเช็คลมยางอยู่เสมอ ควรเติมลมยางให้ได้ตามกำหนดมาตรฐาน (คู่มือรถ) ตรวจสภาพของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่ตามมาตรฐานที่กำหนด ตรวจไส้กรองไม่ให้อุดตันหรือชำรุด เพราะไส้กรองมีส่วนสำคัญในการที่จะถ่ายเทอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยาภายในเครื่อง ถ้าอุดตันหรือชำรุดจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าปกติ และจะสิ้นเปลืองน้ำมัน อย่าลืมปลดเบรกมือ เปลี่ยนเกียร์ตามจังหวะและรอบความเร็วในการใช้งานนั้น ใช้น้ำมันหล่อลื่นตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตให้มา และเข้าตรวจเช็คสภาพตามระยะเวลาที่กำหนดในคู่มือ


13 มีนาคม 2560

ไขข้อข้องใจ !! ใช้น้ำเกลือเช็ดหน้า ดีจริงหรือ... ?

          "น้ำเกลือ" สามารถนำมาเช็ดหน้าได้หรือไม่ ? คำถามนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวของสาว ๆ หลายคน แต่ก็มีสาว ๆ อีกหลายคนที่นิยมนำน้ำเกลือมาเช็ดหน้า และใช้เช็ดทำความสะอาดหัวสิว โดยเธอเหล่านั้นใช้น้ำเกลือเช็ดหน้าแทนโทนเนอร์เลยก็ว่าได้ ส่วนผลที่ได้รับจะดีจริงสมคำเล่าลือหรือไม่ หรือเป็นแค่ความเข้าใจผิดของคุณสาว ๆ นั้น  ไปหาคำตอบกันคะ !!

          "นํ้าเกลือ" ประกอบด้วยเกลือชนิดที่ใช้ผลิตยา 0.9% ผสมในน้ำกลั่นบริสุทธิ์ และผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง ไม่ผสมสารเคมีอื่นใด หรือสารกันบูด จึงมั่นใจได้ ว่าจะไม่ทำให้เกิดการแพ้ ซึ่งสิวบนใบหน้า ถือเป็นแผลชนิดหนึ่ง หากได้รับการดูแลทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่ดีและสะอาด เนื้อเยื้อจะสมานตัวได้ดี แผลจะหายเร็วและเกิดริ้วรอยแผลเป็นน้อย ดังนั้นปกติแล้วการทำความสะอาดแผลในสถานพยาบาลจะใช้น้ำเกลือ 0.9% ชนิดปราศจากเชื้อในการทำความสะอาดแผล ซึ่งจะไม่ระคายเคือง ไม่ทำลายเนื้อเยื่อผิวทำให้แผลสะอาด และหายเร็ว อย่างไรก็ตาม น้ำเกลือไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ แต่เป็นน้ำเกลือที่สะอาดมาก เนื่องจากผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง ในขวดจะไม่มีการปนเปื้อนเชื้อและสิ่งแปลกปลอม เหมาะสำหรับใช้ทำความสะอาดผิวที่บอบบาง 

          รู้อย่างนี้แล้ว เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนคงหันมาใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าแทนโทนเนอร์กันแล้วใช่ไหมล่ะคะ เพราะนอกจากจะช่วยทำความสะอาดผิวที่บอบบางได้เป็นอย่างดี ช่วยให้สิวหายเร็ว และทำให้เกิดรอยแผลเป็นน้อยลงแล้ว ที่สำคัญราคาก็ยังน่ารักอีกด้วย ^^  

          สำหรับวิธีใช้นั้นก็ง่ายแสนง่าย หลังจากล้างหน้าให้สะอาดแล้ว ใช้น้ำเกลือเทลงบนสำลีเช็ดบริเวณที่เป็นสิวหรือทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นจึงใช้ครีมบำรุงผิวหน้าตามปกติ โดยไม่ต้องล้างน้ำเกลือออกด้วยน้ำเปล่าซ้ำค่ะ ส่วนใครที่กังวลว่าใช้น้ำเกลือเช็ดหน้าแล้วจะเหนียวเหนอะหนะไหม ? หน้าจะแห้งเกินไปหรือเปล่า ? งานนี้บอกเลยว่า... ไม่มีปัญหา ! เพราะปกติความเข้มข้นของเกลือที่ 0.9% จะเท่ากับน้ำในเซลล์ร่างกายหรือเซลล์ผิว จึงไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะ ส่วนความรู้สึกว่าผิวแห้งนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของผู้ใช้ โดยผู้ใช้ที่มีพื้นฐานหน้าแห้งอาจทำให้รู้สึกแห้งได้บ้าง



      บอกเลย   "น้ำเกลือ"  นี่แหละคือไอเทมสำคัญของสาว ๆ ยุคใหม่ไปแล้ว ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปไหน ก็สามารถพกพาน้ำเกลือไปได้ทุกที่ เพราะเขามีไซส์เล็กด้วย โดยเมื่อเปิดใช้แล้วควรเก็บให้ถูกวิธีและใช้ให้หมดภายใน 30 วัน เนื่องจากน้ำเกลือปราศจากเชื้อ ไม่ใส่วัตถุกันเสีย หากเก็บไว้นานกว่านั้น น้ำเกลืออาจไม่สะอาดนะคะ นอกจากนี้ น้ำเกลือยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใช้ล้างโพรงจมูก ล้างแผล และล้างคอนแทคเลนส์ก่อนใส่เข้าดวงตา เรียกได้ว่า  ใช้ได้ทุกคนในครอบครัว ควรมีเก็บไว้ประจำบ้าน เลยละคะ !!!

ที่มา : kapook.com


12 มีนาคม 2560

10 วิธี ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

photo. Bright side
     การเพิ่ม metabolism ทำให้มีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น   ส่งผลให้   ร่างกาย ใช้พลังงานจากอาหารและอาหารเสริมที่คุณทานเข้าไปด้วย ทำให้คุณอยากดื่มน้ำ เพิ่มมากขึ้น และน้ำที่คุณดื่มยังช่วยสนับสนุนการขับพิษ การขับถ่ายและการย่อย อาหารในร่างกายอีกด้วย และ

นี่เป็น  10 วิธีที่จะช่วยให้คุณเพิ่มอัตราการเผาผลาญ พลังงานคะ     
1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ 
          "ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อเรียบมาก ร่างกายคุณก็จะเผาผลาญพลังงานมาก"  ซึ่งวิธีการทำให้กล้ามเนื้อเรียบก็ไม่ยากค่ะ เพียงแค่ยกดัมเบลล์อย่างน้อย อาทิตย์ละ ครั้ง ก็จะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มเหมือนกัน แต่ช่วงที่ระดับเมตาบอลิ ซึ่มคุณพุ่งสุดขีดนั้นน่ะ ไม่ใช่ตอนที่คุณวิ่งหอบแฮกๆ บนสายพานหรอกนะคะ แต่หลัง 
จากนั้นอีกสัก 2-3 ชั่วโมงค่ะ     
2. ขยับตัว 
          อยากเผาผลาญแคลอรี่ให้เร็วที่สุดก็ต้องออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นเราต้องทำเป็นประจำ อย่างน้อยที่สุดก็วันละ 30 นาที อย่างปกติก็ ชั่วโมง วิ่งเหยาะๆหรือเต้นแอโรบิกอาทิตย์ละ ครั้ง
(แต่ไม่ควรที่จะหักโหมมากจน เกินไป เพราะอาจจะทำให้คุณเหนื่อยหอบได้) และไม่ว่าจะออกกำลังกายแบบไหนก็ช่วย เพิ่มเมตาบอลิซึ่มทั้งนั้นล่ะ ให้หัวใจได้เต้นแรงเต็มที่ 120 ครั้งต่อนาที ให้
ต่อเนื่องนานสัก 30-45 นาที     
3. กิน 
          ยิ่งร่างกายคุณขาดสารอาหาร กล้ามเนื้อก็จะล้า การเผาผลาญก็จะน้อย  ลง ทางที่ดีกินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 3-4 มื้อ ยังดีกว่าอดอาหารไปเลย แต่อย่าลืม ว่า ควรจะเป็นคนเลือกินสักหน่อย ไม่ใช่บอกว่าให้เลือกกินของแพงนะคะ แต่ให้เลือก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า ลดไขมันจากสัตว์ แต่เพิ่มปริมาณผักและผล ไม้
    
4. งดน้ำตาล 
          เหตุผลง่ายๆ ก็คือน้ำตาลที่เหลือใช้แล้ว ร่างกายจะแปรสภาพเป็น  ไขมัน เพราะฉะนั้นลดน้ำตาล ก็จะช่วยลดไขมันไปในตัว     
5. อย่าลืมกินอาหารเช้า 
          เป็นความจริงที่ว่าคนที่กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ หุ่นดีกว่าคนที่ อดข้าวเช้า และอาหารเช้ายังทำให้ระดับเมตาบอลิซึ่มของคุณวันนั้นพุ่งเป็น เท่า ด้วย อีกอย่างอาหารเช้าจะช่วยทำให้สมองปลอดดปร่ง สามารถเริ่มทำงานได้อย่างเต็มที่     
6. กินอาหารเผ็ดร้อน 
          เป็นคนไทยแสนจะโชคดี มีอาหารที่รสจัด มีทั้งพริกขี้หนูและพริกไทย  แต่อย่าทานที่เผ็ดจนลิ้นชา หน้าแดง น้ำตาไหลนะคะ เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อ กระเพาะและลำไส้ได้     
7. ดื่มชาเขียว 
          เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเร่งเมตาบอลิซึ่มได้ดีและปลอดภัยกว่ากาแฟ  ที่สำคัญตอนนี้หาซื้อได้ง่าย มีหลายรสชาติให้เลือกรับประทานด้วยค่ะ     
8. ดื่มน้ำเยอะๆ 
          จะช่วยขับสารพิษหลังจากที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานแล้ว น้ำเย็นๆยัง ช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มกระเตื้องขึ้นอีกนิดหนึ่งด้วยนะ อีกสูตรที่จะช่วยให้ คุณมีผิวพรรณที่สดใส นั่นคือ 1 2 3 3 1 อย่าเพิ่งงค่ะ เพราะว่า 1 2 3 3 1 ที่ ว่านี้คือ หลังจากตื่นนอนให้ดื่มน้ำก่อน แก้ว ตอนสายอีก แก้ว ตอนเที่ยงถึง 
บ่ายอีก แก้ว ตอนเย็น แก้ว และก่อนนอนอีก แก้ว รับรองว่านอกจากจะช่วย กระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มแล้ว ผิวพรรณของคุณก็จะดูสดใสไปด้วย     
9. อย่าเครียด 
          สำคัญมาก ๆ เลยค่ะ เพราะขณะนี้คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่กำลังตกอยู่ใน ภาวะของอาการเครียด ซึ่งนอกจากจะทำร้ายจิตใจของเราแล้ว ยังส่งผลถึงร่างกายของ เราด้วย เพราะความเครียดทำให้เราอ้วนขึ้น เพราะฮอร์โมนคอร์ติโซนจะไปทำให้อัตรา เมตาบอลิซึ่มช้าลง ฉะนั้น สาว ๆ ที่กลัวอ้วน โปรดจงอย่าเครียด     
10. นอนหลับ 
          ความลับที่เพิ่งจะค้นพบก็ คือ กล้ามเนื้อเรียบในร่างกายเราจะทำงาน  เผาผลาญแคลอรี่ได้ดีที่สุดในชั่วโมงหลังๆ ที่เราหลับสนิทเต็มที่ค่ะที่มาจาก ซึ่งร่างกายของคนเราต้องการการพักผ่อนอย่างเต็มที่อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง 
    
          10 วิธีแสนง่าย ที่จะช่วยในการเผาผลาญพลังงานของคุณคะ . . .


8 มีนาคม 2560

รู้และปฏิบัติ!! ปรัชญาชีวิตที่ดีมาก ”สอนลูก” 20 ข้อ อ่านให้จบ !!



อ่านให้จบ (ดีมาก) ~ 20 ข้อ ที่ควรให้ลูกรู้และปฏิบัติ ก่อนอายุ 45 ปี

1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไปในสายวิชาที่ตนเลือก   แต่ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนจำเป็นมากๆ จงให้ใส่ใจ ส่วนวิชาอื่นๆ เอาแค่ดีพอหางานดีๆทำก็พอ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด ภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน สร้างผลงานได้

2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย   นั้น สำคัญมากพอๆกับการคร่ำเคร่ง หน้าตำราเรียน

3. เลือกงานที่เราชอบ  นั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่าอาชีพนั้น.. สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง

4. เมื่อถึงวัยทำงาน    ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ “ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด”

5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอ  โดยเร็วที่สุดเพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณในชาตินี้ตลอด

6. ซื้อบ้านก่อนที่จะซื้อรถ   เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด

7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก   รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว

8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรก  สู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน...อย่าลืมคบกับที่ปรึกษาการเงินไว้เป็นเพื่อน

9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลก   ใบนี้เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่า วันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้

10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์   เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน  เพราะความมั่นคงไม่เคยมีบนโลกใบนี้

12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้   แค่อย่างเดียวเพราะความสามารถของคนเรามีมากกว่า 1 เสมอ

13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามาจงอย่าปฏิเสธ   ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือประสบการณ์

14. สร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้เร็วที่สุด   ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่มสาวเพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก

15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว  เพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม

16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ   อย่าดูแต่ข้อดีของเขาแต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้ มากแค่ไหน

17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา   ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ

18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน   ก็ไม่สามารถทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้

19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ   ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียวและอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง   โปรดถนอมตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป


# หากคิดว่าโพสต์นี้มีประโยชน์ !!   กรุณาเเบ่งปันให้สักคนรับรู้
http://www.zipworld.co

7 มีนาคม 2560

9 วิธีแก้ "ผิวแตกลาย" สำหรับคนงบน้อย !! เพียงแค่เข้าครัวก็สวยได้ !!


   ผิวแตกลาย เป็นใครคงรู้สึกไม่ดีและไม่อยากให้มีปรากฏบนร่างกายของเรา ไม่ว่าจะไม่สัดส่วนตรงไหนเพราะนอกจากจะไม่สามารถใส่เสื้อผ้าตามที่ต้องการได้แล้วยังทำให้สูญเสียความมั่นใจสุดๆ 
     ขอนำเคล็ดลับดีๆสำหรับสาวๆที่ต้องการกำจัด "ผิวแตกลาย" แบบไม่ต้องเสียเงินแพง ไม่ต้องพึงคลีนิค แต่ใช้วัตถุดิบทางธรรมชาติมาเปลี่ยนแปลงผิวพรรณให้สวย เอาละจะมีอะไรบ้างเราไปดูแล้วจดพร้อมๆกันเลย


สูตรที่ 1 ไข่ขาว  สามารถนำมาบำรุงผิวพรรณได้หลายอย่าง รวมถึงแก้ปัญหาผิวแตกลาย สูตรนี้ต้องใช้ไข่ขาวประมาณ 2 ฟอง โดยนำไข่ขาวมาทาที่ผิวซ้ำไปซ้ำมาจนหนา ทิ้งไว้กระทั่งเริ่มแห้ง ก็ทำความสะอาดผิวของคุณด้วยน้ำเย็น และใช้ผ้าซับจนแห้งสนิท ค่อยนำน้ำมันมะกอกมานวดที่ผิวให้ชุ่มชื่น ทำแบบนี้ต่อเนื่องไปประมาณ 2 สัปดาห์ ร่องรอยแตกลายบนผิวก็จะเริ่มจางลง
.
สูตรที่ 2  น้ำมันละหุ่ง  นำมานวดผิวบริเวณที่มีปัญหา โดยใช้นิ้วนวดเป็นวงกลมไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที แล้วใช้สำลีแผ่นปิดทับจากนั้นใช้นิ้วลูบไปบนแผ่นสำลีอีกประมาณ 30 นาที จนเริ่มรู้สึกอุ่นๆ หรืออาจจะนำน้ำร้อนใส่ขวดและมาปิดทับก็ได้ ทิ้งไว้ตามเวลาที่บอก ค่อยล้างออกให้สะอาด ทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน ก็จะเห็นผลชัดขึ้น



สูตรที่ 3 น้ำมันมะกอก    ใช้ที่กำลังอุ่นๆ นำมานวดผิว อย่างน้อยประมาณ 30 นาที ทำแบบนี้เป็นประจำ ผิวแตกลายจะดูจางลงขึ้น
.


สูตรที่ 4  มะนาว ผ่าออกเป็น 2 ซีก และนำมานวดถูเป็นวงกลมบริเวณผิวที่แตกลาย ประมาณ 10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น นกจากนี้ อาจนำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำแตงกวา และนำมานวดบริเวณผิวที่มีปัญหาได้เช่นกัน ผิวที่แตกลายก็จะจางขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
.

สูตรที่ 5 ว่านหางจระเข้   นำมาถูกตรงผิวที่แตกลาย ประมาณ 2-3 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำค่อนข้างอุ่นให้สะอาด


สูตรที่ 6  น้ำตาลทราย  ตักประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมลงในน้ำมะนาว 1 – 2 หยด และน้ำมันอัลมอนด์ คนจนเข้ากันดี แล้วนำมานวดผิว ทำแบบนี้ทุกๆ วัน ประมาณ 10 นาที ก่อนอาบน้ำ เป็นเวลา 1 เดือน นอกจากจะช่วยทำให้รอยแตกลายของผิวจางลงแล้ว ยังได้ความกระจ่างใสของผิวเป็นของแถมมาด้วย
.

สูตรที่ 7 มันฝรั่ง   สไลด์ให้เป็นแผ่นบาง และนำมาถูที่ผิวให้มีน้ำออกมา และทิ้งประมาณ 5-10 นาทีจนแห้ง จากนั้นล้างออกกด้วยน้ำค่อนข้างอุ่นให้สะอาด
.
สูตรที่ 8 ใบบัวบก นำใบบัวบกมาคั้นเอาแต่น้ำ แล้วนำไปทาในบริเวณที่เกิดปัญหาน่องลายเป็นประจำทุกเช้าเย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆจางลง

สูตรที่ 9 มะนาว+เบบี้ออย   นำน้ำมะนาวกับเบบี้ออยมาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปทาแล้วนวดเบาๆในบริเวณที่มีปัญหาน่องลายทุกครั้งหลังจากการอาบน้ำ ผิวที่แตกลายจะค่อยๆจางลง

ขอบคุณที่มา www.tips108.com
news.thaiza
medthai