การขับรถให้ประหยัดน้ำมันในยุคน้ำมันแพง ในชีวิตประจำวันเราต้องใช้รถยนต์ในการเดินทาง บางท่านอาจต้องใช้ทุกวัน เราจึงมีเทคนิคการขับรถให้ประหยัดน้ำมันมาฝาก มีทั้งหมด 11 วิธีด้วยกัน ดังนี้
11 วิธีการขับรถให้ประหยัดน้ำมันที่สุด
1. สตาร์ทอุ่นเครื่องอยู่กับที่ อย่างเหมาะสม
การอุ่นเครื่องจะทำให้ระบบหล่อลื่นทำงานดีขึ้น ควรอุ่นเครื่องสัก 1 - 2 นาที ก่อนที่จะใช้รถเพื่อให้เครื่องยนต์พร้อมสตาร์ท การอุ่นเครื่องไม่ควรเบิ้ลเครื่องยนต์ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันที่สุด และไม่อุ่นเครื่องนานเกินไป หรือขับออกไปอย่างนิ่มนวลด้วยความเร็วรอบต่ำประมาณ 1 - 2 กิโลเมตรก็ได้
การอุ่นเครื่องจะทำให้ระบบหล่อลื่นทำงานดีขึ้น ควรอุ่นเครื่องสัก 1 - 2 นาที ก่อนที่จะใช้รถเพื่อให้เครื่องยนต์พร้อมสตาร์ท การอุ่นเครื่องไม่ควรเบิ้ลเครื่องยนต์ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันที่สุด และไม่อุ่นเครื่องนานเกินไป หรือขับออกไปอย่างนิ่มนวลด้วยความเร็วรอบต่ำประมาณ 1 - 2 กิโลเมตรก็ได้
2. ไม่ขับรถออกเร็วกระชาก แบบรวดเร็วอย่างรุนแรง
ออกรถแบบกระชากดังเอี๊ยด หรือแบบรถแข่ง เบรกทุกครั้งแบบกระทืบ จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก แถมยังเป็นการทำลายชิ้นส่วนต่างๆ ของรถ ทำให้สึกหรอมากขึ้น เป็นการลดอายุการใช้งานของรถให้สั้นลง นอกจากนี้ยังไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินอีกด้วย
ออกรถแบบกระชากดังเอี๊ยด หรือแบบรถแข่ง เบรกทุกครั้งแบบกระทืบ จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก แถมยังเป็นการทำลายชิ้นส่วนต่างๆ ของรถ ทำให้สึกหรอมากขึ้น เป็นการลดอายุการใช้งานของรถให้สั้นลง นอกจากนี้ยังไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินอีกด้วย
3. ไม่ขับรถเร็วเกินความจำเป็น
การขับรถเร็ว จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นเกินความจำเป็น และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การใช้ความเร็วอย่างสม่ำเสมอ ไม่เร่งเครื่องทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น ในกรณีที่ท่านขับรถทางไกล ที่มีความเร็ว 80 กม./ชม. จะสามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 10-15 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
การขับรถเร็ว จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นเกินความจำเป็น และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การใช้ความเร็วอย่างสม่ำเสมอ ไม่เร่งเครื่องทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น ในกรณีที่ท่านขับรถทางไกล ที่มีความเร็ว 80 กม./ชม. จะสามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 10-15 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
4. ออกรถ หรือขับนิ่ม ๆ บนคันเร่งแผ่วๆ
เมื่อรถเคลื่อนที่ออกไประยะหนึ่ง โดยให้รอบเครื่องยนต์อยู่ในระดับของแรงบิดที่เหมาะสมของรถรุ่นนั้นๆ หรือง่ายๆคือไม่ควรเกิน 2,000 – 2,500 รอบ/นาที (ยกเว้นกรณีมีความจำเป็นต้องใช้อัตราเร่งที่มากกว่า) แล้วก็ค่อยๆ ให้เคลื่อนยนต์เปลี่ยนจังหวะเกียร์เองเรื่อยๆ (กรณีเกียร์อัตโนมัติ) พยายามควบคุมความเร็วให้สม่ำเสมอ ช่วนประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงความเร็วที่เหมาะสมได้ 2-5 %
เมื่อรถเคลื่อนที่ออกไประยะหนึ่ง โดยให้รอบเครื่องยนต์อยู่ในระดับของแรงบิดที่เหมาะสมของรถรุ่นนั้นๆ หรือง่ายๆคือไม่ควรเกิน 2,000 – 2,500 รอบ/นาที (ยกเว้นกรณีมีความจำเป็นต้องใช้อัตราเร่งที่มากกว่า) แล้วก็ค่อยๆ ให้เคลื่อนยนต์เปลี่ยนจังหวะเกียร์เองเรื่อยๆ (กรณีเกียร์อัตโนมัติ) พยายามควบคุมความเร็วให้สม่ำเสมอ ช่วนประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงความเร็วที่เหมาะสมได้ 2-5 %
5. ไม่บรรทุกน้ำหนักเกินพิกัดของรถ
การบรรทุกน้ำหนักของรถยนต์ ซึ่งในแต่ละคันจะมีอัตราการบรรทุกบอกไว้ ถ้าบรรทุกน้ำหนัก หรือสิ่งของหนักเกินไป ก็จะทำให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น ทำให้รถมีอายุการใช้งานที่สั้นลง ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอสูงกว่าปกติ อีกทั้งยังเป็นการไม่ปลอดภัยต่อการควบคุมการขับขี่อีกด้วย
การบรรทุกน้ำหนักของรถยนต์ ซึ่งในแต่ละคันจะมีอัตราการบรรทุกบอกไว้ ถ้าบรรทุกน้ำหนัก หรือสิ่งของหนักเกินไป ก็จะทำให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น ทำให้รถมีอายุการใช้งานที่สั้นลง ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอสูงกว่าปกติ อีกทั้งยังเป็นการไม่ปลอดภัยต่อการควบคุมการขับขี่อีกด้วย
6. ใช้เครื่องปรับอากาศให้พอดี
เปิดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม เพราะการใช้เครื่องปรับอากาศทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น และกินน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 10 % จึงควรปรับระดับความเย็น และความแรงของลมให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ จะเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกทาง หนึ่งด้วย
7. ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งเมื่อจอดนานๆ
การจอดรถเวลานานๆ ในขณะเครื่องยนต์กำลังทำงานนอกจากจะผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วยังสร้างมลภาวะเป็นพิษทางอากาศให้กับสิ่งแวดล้อมอีก ฉะนั้นการดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่ต้องจอดเป็นเวลานานๆ หรือหากต้องรอประมาณ 3-4 นาทีขึ้นไป ก็ควรดับเครื่องยนต์ สามารถประหยัดน้ำมันถึง 3 – 5% และยังเป็นการรักษาสภาพแวดล้อมอีกด้วย
การจอดรถเวลานานๆ ในขณะเครื่องยนต์กำลังทำงานนอกจากจะผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วยังสร้างมลภาวะเป็นพิษทางอากาศให้กับสิ่งแวดล้อมอีก ฉะนั้นการดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่ต้องจอดเป็นเวลานานๆ หรือหากต้องรอประมาณ 3-4 นาทีขึ้นไป ก็ควรดับเครื่องยนต์ สามารถประหยัดน้ำมันถึง 3 – 5% และยังเป็นการรักษาสภาพแวดล้อมอีกด้วย
8. วางแผนการเดินทาง ช่วยประหยัดน้ำมัน
ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ควรมีจุดหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนการเดินทาง เช่น ศึกษาเส้นทางลัด เลี่ยงเส้นทางรถติด ฟังรายงานจราจร จะช่วยให้ถึงที่หมายได้เร็วขึ้น ปลอดภัย และช่วยให้ท่านประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่งด้วย
ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ควรมีจุดหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนการเดินทาง เช่น ศึกษาเส้นทางลัด เลี่ยงเส้นทางรถติด ฟังรายงานจราจร จะช่วยให้ถึงที่หมายได้เร็วขึ้น ปลอดภัย และช่วยให้ท่านประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่งด้วย
9. ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่ม และบรรทุกไม่สมดุล
มีการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเกินความจำเป็น เช่นเครื่องเสียงชุดใหญ่ ชุดตกแต่งภายนอก ฯลฯ ทำให้เครื่องยนต์รับภาระเพิ่มขึ้นและอุปกรณ์ บางอย่างทำให้ต้านลมและหนักทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน หรือแม้กระทั้งการบรรทุกไม่สมดุล ทำให้น้ำหนักตัวรถไม่บาลานซ์ ทำให้การควบคุมรถลำบากและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อีกด้วย
มีการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเกินความจำเป็น เช่นเครื่องเสียงชุดใหญ่ ชุดตกแต่งภายนอก ฯลฯ ทำให้เครื่องยนต์รับภาระเพิ่มขึ้นและอุปกรณ์ บางอย่างทำให้ต้านลมและหนักทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน หรือแม้กระทั้งการบรรทุกไม่สมดุล ทำให้น้ำหนักตัวรถไม่บาลานซ์ ทำให้การควบคุมรถลำบากและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อีกด้วย
10. ขับรถขึ้นเขา ลงเขา ให้ประหยัดและปลอดภัย
เวลาขับรถขึ้นเขา และลงเขา ควรใช้เกียร์ต่ำ เร่งความเร็วให้สม่ำเสมอ เพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวล ห้ามขับรถขึ้นเขา โดยใช้เกียร์สูง เพราะจะทำให้รถไม่มีแรงกำลังขับเคลื่อน และกินน้ำมันมากขึ้น และห้ามขับรถลงเขาด้วยเกียร์ว่างโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีแรงหน่วงของเครื่องยนต์ทำให้เกิดอันตรายได้ ควรใช้เกียร์ต่ำและค่อยๆปล่อยรถให้ไหลลงไปตามรอบเครื่องยนต์เอง พร้อมควบคุมความเร็วให้สัมพันธ์กับเกียร์ ทำให้ประหยัดน้ำมัน
เวลาขับรถขึ้นเขา และลงเขา ควรใช้เกียร์ต่ำ เร่งความเร็วให้สม่ำเสมอ เพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวล ห้ามขับรถขึ้นเขา โดยใช้เกียร์สูง เพราะจะทำให้รถไม่มีแรงกำลังขับเคลื่อน และกินน้ำมันมากขึ้น และห้ามขับรถลงเขาด้วยเกียร์ว่างโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีแรงหน่วงของเครื่องยนต์ทำให้เกิดอันตรายได้ ควรใช้เกียร์ต่ำและค่อยๆปล่อยรถให้ไหลลงไปตามรอบเครื่องยนต์เอง พร้อมควบคุมความเร็วให้สัมพันธ์กับเกียร์ ทำให้ประหยัดน้ำมัน
11. หมั่นตรวจเช็คสภาพรถยนต์ก่อนออกเดินทาง
หมั่นตรวจเช็คลมยางอยู่เสมอ ควรเติมลมยางให้ได้ตามกำหนดมาตรฐาน (คู่มือรถ) ตรวจสภาพของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่ตามมาตรฐานที่กำหนด ตรวจไส้กรองไม่ให้อุดตันหรือชำรุด เพราะไส้กรองมีส่วนสำคัญในการที่จะถ่ายเทอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยาภายในเครื่อง ถ้าอุดตันหรือชำรุดจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าปกติ และจะสิ้นเปลืองน้ำมัน อย่าลืมปลดเบรกมือ เปลี่ยนเกียร์ตามจังหวะและรอบความเร็วในการใช้งานนั้น ใช้น้ำมันหล่อลื่นตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตให้มา และเข้าตรวจเช็คสภาพตามระยะเวลาที่กำหนดในคู่มือ
หมั่นตรวจเช็คลมยางอยู่เสมอ ควรเติมลมยางให้ได้ตามกำหนดมาตรฐาน (คู่มือรถ) ตรวจสภาพของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่ตามมาตรฐานที่กำหนด ตรวจไส้กรองไม่ให้อุดตันหรือชำรุด เพราะไส้กรองมีส่วนสำคัญในการที่จะถ่ายเทอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยาภายในเครื่อง ถ้าอุดตันหรือชำรุดจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าปกติ และจะสิ้นเปลืองน้ำมัน อย่าลืมปลดเบรกมือ เปลี่ยนเกียร์ตามจังหวะและรอบความเร็วในการใช้งานนั้น ใช้น้ำมันหล่อลื่นตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตให้มา และเข้าตรวจเช็คสภาพตามระยะเวลาที่กำหนดในคู่มือ