28 กุมภาพันธ์ 2562

ข้อควรรู้สำหรับนักวิ่ง มือใหม่ และมือโปร


ข้อควรรู้สำหรับนักวิ่งมือใหม่และมือโปร
ขอบคุณที่มา :  ผมเป็นนักวิ่ง

    ตอนนี้หันมองไปทางไหนก็เจอแต่สาวๆ หนุ่มๆ หรือบางทีเป็นอาอึ้มอาโกด้วยซ้ำไป ที่หันมาใส่เสื้อยืดแบรนด์สปอร์ตเก๋ๆ รองเท้าผ้าใบแบบซัพพอร์ตเท้าสีแสบๆ คาดสายรัดเอว พร้อมน้ำดื่ม และสมาร์ทโฟนเอาไว้ฟังเพลง และเก็บระยะวิ่งพร้อมแชร์ลงโซเชียลมีเดีย แม้กระทั่งพี่สาวของเราเอง ที่เมื่อ 6-7 ปีก่อนยังบอกเราอยู่เลยว่า “วิ่ง เป็นกีฬาที่เกลียดที่สุด” แต่พอได้แฟนเป็นนักวิ่งเข้าหน่อย ก็หันมาตั้งอกตั้งใจ จนตอนนี้ไปไกลถึงขั้นจะลงมาราธอนกันเลยทีเดียว
    ยิ่งมีคนหันมายิ่งออกกำลังกายกันเยอะ ก็ยิ่งน่าปลื้มใจที่เห็นคนไทยใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น แต่ก็มีหลายคนที่จู่ๆ ก็คว้ารองเท้าผ้าใบ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง โดยไม่ได้ทำการศึกษาหาข้อมูลถึงสิ่งที่ควรทำ หรือควรระวังก่อนวิ่งกันเลย ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอาการบาดเจ็บ หรืออันตรายอื่นๆ  จึงได้รวบรวมเคล็ดลับเตรียมตัววิ่งที่ถูกต้องฉบับมือใหม่ มือสมัครเล่น และมือโปรหลายๆ 

ท่านที่อาจจะยังไม่เคยรู้ มาให้อ่านเป็นเช็คลิสต์กันค่ะ

1. รองเท้าวิ่ง  สำคัญ ต้องเป็นรองเท้าสำหรับวิ่งเท่านั้น เพราะออกแบบสำหรับวิ่ง เพื่อรับแรงกระแทกและน้ำหนักของร่างกายได้ดี อย่าริอาจไปหยิบรองเท้าคิตตี้สีชมพูคู่โปรด หรือ Adidas Limited Edition สุดเท่ที่ไม่ใช่รองเท้าวิ่งมาใส่เด็ดขาด เก็บไว้เดินห้างสวยๆ ดีกว่า และควรมีขนาดหลวมเล็กน้อย พอที่จะเอานิ้วคั่นระหว่างส้นเท้ากับส่วนหลังของรองเท้าได้ เพราะหากรองเท้าคับเกินไป เท้าอาจพองหรือเจ็บได้
2. ชุดวิ่ง   ควรเลือกที่มีน้ำหนักเบา สบายผิว ระบายความร้อนได้ดี เลี่ยงชุดที่มีตะเข็บแข็งๆ หรือรัดแน่นจนเกินไป คุณผู้หญิงหากมีสปอร์ตบราก็จะดีมาก ช่วยพยุงหน้าอกไม่ให้หย่อนคล้อยไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก
3. ก่อนวิ่งต้องวอร์มร่างกายก่อน  ด้วยการออกกำลังกายเบาๆ ยืดเส้นยืดสาย แกว่งแขน แกว่งขา ให้รู้สึกได้ถึงเลือดสูบฉีดเบาๆ ห้ามมาถึงก็วิ่งเลยเด็ดขาด
4.  15-20 นาทีแรก ให้วิ่งช้าๆ เบาๆ ปรับให้สภาพร่างกายและการเต้นของหัวใจให้ค่อยๆ แรงขึ้น รวมไปถึงแขนขาด้วย
5. ไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็วเพื่อแข่งกับคนอื่น จำเอาไว้ว่าเราแข่งกับตัวเราเองเมื่อวาน อย่าเห็นว่าคนอื่นสับขาฟั่บๆ แล้วเราจะไปสับขาให้เท่าเขา ช่วยดูร่างตัวเองด้วย
6. ถ้ารู้สึกไม่ไหวก็อย่าฝืน ค่อยๆ ผ่อนแรงลง  วิ่งช้าลงเรื่อยๆ แล้วเปลี่ยนมาเป็นเดินแทน หากจุดประสงค์ของเราคือการออกกำลังกาย เราไม่จำเป็นต้องทำสถิติสวยหรู เดินๆ วิ่งๆ สลับกันไปเรื่อยๆ ตลอดระยะการวิ่งก็ได้
7. หากพื้นที่วิ่งไม่ค่อยเรียบ ให้คอยมองดูพื้นด้วย และหากวิ่งตอนเช้ามืดหรือตอนกลางคืนแล้วมองพื้นไม่ค่อยเห็น ให้ลองยกเท้าให้สูงขึ้นอีกนิด
8. ควรมีวินัยในการวิ่ง  ตั้งมาตรฐานของเราเอาไว้ว่าเมื่อวานวิ่งได้เท่าไร วันนี้เอาเท่าไร แล้วทำให้ถึง อย่าวิ่งหรือหยุดวิ่งตามระยะของเพื่อน เพราะร่างกายของเรากับเพื่อนไม่เหมือนกัน
9. อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ  ก่อนวิ่งให้จิบน้ำเล็กน้อย ระหว่างวิ่งหากรู้สึกกระหายก็สามารถจิบน้ำได้ แต่อย่าดื่มมากเกิน ระวังจุก
10. ไม่สมควรออกวิ่ง 7 วันติด  ควรให้ร่างกายได้พักบ้าง อาจจะ 2-3 วันแล้วพัก หรือวิ่งวันเว้นวันแทน แต่ก็ไม่ควรหยุดวิ่งไปนานๆ เช่นเดียวกัน ถ้าเริ่มแล้วก็ต้องวิ่งเรื่อยๆ ให้สม่ำเสมอ
11. อย่าลืมหมั่นตัดเล็บ  และทำความสะอาดเท้าเป็นประจำ แต่ก็อย่าตัดเล็บสั้นมากเสียจนเป็นแผลล่ะ
12. หากร่างกายไม่สมบูรณ์ 100%  เช่น ไม่สบาย เป็นหวัด มีไข้ ปวดท้อง ท้องเสีย หรือมีอาการบาดเจ็บที่ส่วนไหน ควรงดวิ่งจนกว่าร่างกายจะปกติดีเสียก่อน
13. หลังวิ่งเสร็จ ควรคูลดาวน์ ด้วยการวิ่งผ่อนแรงเบาๆ ยืดเส้นยืดสาย เพื่อไม่ให้มีอาการปวดกล้ามเนื้อ
14. ไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัดมากๆ  ในคราวเดียวหลังวิ่งเสร็จ ค่อยๆ จิบทีละนิดจะดีกว่า
15. พักจนกว่าจะหายเหนื่อย  ร่างกายปรับอุณหภูมิเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยเริ่มอาบน้ำ ทานข้าว หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป



  ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนมีร่างกายที่แข็งแรง ฟิตแอนด์เฟิร์มกันถ้วนหน้านะคะ
ขอขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก  สมุดบันทึกการวิ่ง

26 กุมภาพันธ์ 2562

วิ่งเปลี่ยนชีวิต ลดน้ำหนัก 40 กก. หนีโรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจ จนหายเกลี้ยง

หากคุณคืออีกหนึ่งคนที่มีปัญหาเรื่องอ้วนอยู่ วันนี้เรามีแรงบันดาลใจดีๆ มาฝาก เป็นเรื่องราวของคุณจอย ซึ่งเธอใช้วิธีการลดน้ำหนักด้วยการวิ่งพร้อมกับสู้กับโรค และผลที่ได้จะเป็นอย่างไร มาชมกันเลย
เธอคนนี้เคยอ้วนถึงร้อยโล แถมยังเป็น โรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจเต้นผิดจังหวะอีก เธอมีชีวิตที่ยากลำบาก เพราะต้องกินยาวันละ 16 เม็ด ฉีดยาอินซูลีน
จนถึงวันที่รู้สึกว่าร่างกายไม่สามารถไปต่อได้แล้ว ร่างกายช้ำไปหมด น้ำตาลสูงมาก ความดันสูงมาก ไขมันพุ่งสุดๆหัวใจเต้นผิดจังหวะอีก ไม่มีอะไรดีเลย “จนถึงเวลาต้องเปลี่ยนตัวเอง” สามีคุณจอยบอกว่า ถ้าเรายังอยากอยู่ด้วยกันนานๆ เรามาเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตกันใหม่เถอะ มาสู้ไปด้วยกัน แม้ว่ามันจะยากก็ต้องทำ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยสักอย่างเดียว
เราเริ่มต้นด้วยการควบคุมอาหารเป็นอันดับหนึ่ง ในช่วง 2 เดือนแรก คุมกันเกือบทุกมื้อ หวาน มัน เค็ม เลี่ยงได้คือเลี่ยงเลย และต่อมาก็ค่อยๆปรับ มีการออกกำลังกายมาช่วยเสริมอีก เริ่มด้วยการเดิน จอยเดินอยู่เป็นเดือน จนน้ำหนักเริ่มลงเรื่อยๆ จาก 90-80-75 กก.
แล้วน้ำหนักก็หยุดนิ่งเกือบเดือน ทำให้จอยท้อมากๆ ผมเลยบอกให้จอยลองเริ่มวิ่ง ซึ่งมันยากมากๆ วันแรกวิ่งได้แค่ 100 เมตรก็ท้อ เหนื่อย หายใจไม่ทัน ปวดเข่าอีก ก็เลยหยุดวิ่ง เมื่อน้ำหนักไม่ลง ก็ต้องเปลี่ยนกิจกรรม ที่จอยชอบแทนเพื่อจะดีขึ้น
เลยไปเต้นแอโรบิกแทน จอยเต้นจนน้ำหนักตัวลดลงมาอีกจนถึง 70 กก.คราวนี้กำลังใจมาเต็มเปี่ยม ผมเลยชวนกลับมาวิ่งอีกครั้ง ครั้งนี้วิ่งไกลขึ้น วิ่งได้ถึง 1.5 กม. และก็วิ่งมาเรื่อยๆ จาก 1 เป็น 2 กม. เพิ่มเรื่อยๆ ตามกำลังที่พอไหว จนน้ำหนักลดลงอีกจนถึงเลข 6 ซึ่งจอยไม่เคยไปถึงเลข 6 เลย ตั้งแต่ป่วยเบาหวาน ทำให้มีกำลังใจมากขึ้น พร้อมไปต่อสุดๆ กลายเป็นชอบวิ่งมากๆ วิ่งเช้า-วิ่งเย็น คุมอาหารควบคู่ไปด้วย จนเปลี่ยนวิธีชีวิตไปเลยก็ได้
พอถึงเวลาไปหาหมดตามนัด หมอก็เริ่มลดยาลงเรื่อยๆ กำลังใจมันก็มาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า “เราใช้ร่างกายมาหนักนานเท่าไหร่แล้ว ร่างกายเราต้องทำนูนทำนี่มาตลอด แต่เราไม่เคยรักษาฟื้นฟูเลย” จนถึงวันที่ร่างกายไม่ไหวจะไปต่อ สารพัดโรคก็พร้อมจะเข้ามารุมเร้าตลอดเวลา ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเปลี่ยน หันมารักสุขภาพตัวเอง ดูแลตัวเอง ก่อนที่มันจะสายเกินไป มาบอกรักตัวเองด้วยการออกกำลังกายและคุมอาหารกันเถอะ
วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก ไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมาจริงๆ กับสิ่งที่หมอบอกผมกับจอย เป็นการหาหมอที่คุ้มค่า คุ้มเวลาที่สุด หัวใจมันพองโต ตื่นเต้นไปหมด เมื่อได้ยินหมอพูดมาประโยคนึงว่า …..
“ตั้งแต่หมอตรวจคนไข้มาถึงทุกวันนี้ มีแค่ 10 คน ที่ทำได้ รักษาโรคให้หายได้ด้วยตัวเอง ค่าทุกอย่างปกติมากๆ ดีขึ้นทั้งน้ำหนัก ทั้งค่าต่างๆ ลดลง เพราะฉะนั้น คุณจอยไม่ต้องกินยาใดๆ อีกต่อไปแล้ว คุณหายเป็นปกติด้วยพฤติกรรมตัวเอง” ขอบคุณคำแนะนำดีๆ และความรู้ต่างๆ จากคุณหมอ อรรถสิทธ์ โนวังหาร ขอบคุณจากใจเราสองคน
1 ปี 5 เดือน มันช่างคุ้มค่าเป็นที่สุด น้ำหนักจอยลดมาจาก 90 กก. ตอนนี้เหลือ 51 กก. รูปร่างสมส่วน เอวเดิม 40 นิ้ว ทุกวันนี้ เอว 26 นิ้ว เหมือนได้ชีวิตใหม่ มีความสุขที่สุดจริงๆ รักใครให้ชวนออกกำลังกายนะครับ
แรงบันดาจใจของคนขี้โรค ผ่านเรื่องราวบนเหรียญ
ทุกอย่างไม่มีคำว่าสายถ้าเริ่มลงมือทำ ก้าวแรกคือก้าวที่สำคัญ ถ้าใจพร้อมร่างกายมก็พยายามจนได้ ไม่เสียดายเวลาและเงินที่ลงกิจกรรมงานวิ่งต่างๆเลย เพราะผลของมันชัดเจนมาก หนึ่งปีที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า กำแพงบ้านฝาบ้านจะไม่มีที่แขวนเหรียญแล้ว ถ้วยรางวัลที่ได้อาจไม่ใช่งานใหญ่โตหรืองานที่มีนักวิ่งแถวหน้า แต่ก็เป็นงานที่ทำให้มีกำลังใจในการก้าวต่อไป เราจะไม่หยุด

แหล่งที่มา: วิ่งหนีโรค, Chanalong Wongdaeng, ขนิษฐา จันทร์ศิริ MThai